
จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 8.2 แมกนิจูด เมื่อวันที่ 28 มี.ค.68 โดยมีจุดศูนย์กลางอยู่ในประเทศเมียนมา และมีความลึก 10 กิโลเมตร ส่งผลให้เกิดแรงสั่นสะเทือนเคลื่อนไหวถึงประเทศไทย ซึ่งสร้างผลกระทบให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อนทั้งต่อร่างกายและทรัพย์สิน เนื่องจากบางที่ได้รับผลกระทบต่อที่อยู่อาศัย และหนักสุดถึงขั้น “ตึกถล่ม”
ล่าสุด กระทรวงการคลังได้สั่งให้สถาบันการเงินภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาล เร่งออกมาตรการช่วย “ลูกค้า-ผู้ประกอบการ” ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว โดยมีธนาคาร 6 แห่ง ออกมาตรการช่วยเหลือ ดังนี้
1.บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
ให้พักชำระค่าธรรมเนียม 6 เดือนสำหรับลูกค้า และพักชำระค่างวดจ่ายหนี้ 3 งวดสำหรับลูกหนี้ ดังนี้
1. มาตรการช่วยลูกค้า บสย. พักชำระค่าธรรมเนียมและค่าจัดการค้ำประกัน 6 เดือน สำหรับ SMEs ลูกค้า บสย. ที่ถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน และค่าจัดการค้ำประกัน ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม – 30 เมษายน 2568
2. มาตรการช่วยลูกหนี้ บสย. พักชำระค่างวด 3 งวด สำหรับลูกหนี้ บสย. (ผู้ประกอบการ SMEs ที่ บสย. จ่ายค่าประกันชดเชย) ที่อยู่ในระหว่างผ่อนชำระตามแผนปรับโครงสร้างหนี้ และไม่ผิดนัดชำระหนี้ โดยสามารถยื่นคำขอพักชำระหนี้ได้ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม – 30 เมษายน 2568
ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและรายละเอียดการเข้าร่วมมาตรการ ได้ที่สำนักงานเขตในพื้นที่ หรือ ช่องทาง LINE OA TCG First: @tcgfirst และ บสย. Call Center โทร. 02-890-9999

2.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
- โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2568 เพื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกร ในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท ตามอัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR ของ ธ.ก.ส. เท่ากับร้อยละ 6.925 ต่อปี) ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
- โครงการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นค่าลงทุนในการซ่อมแซมบ้านเรือนทรัพย์สิน ค่าซ่อมเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย วงเงินต่อรายไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR – 2 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 15 ปี
ผู้สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจนถึง 30 กันยายน 2568 ที่ ธ.ก.ส. ใกล้บ้านท่านทุกสาขาทั่วประเทศ หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง

3.ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)
ขยายระยะเวลาชำระหนี้ พร้อมทั้งเพิ่มวงเงินชั่วคราวเพื่อบรรเทาความเสียหาย ดังนี้
มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะสั้น
• ขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงิน สูงสุด 180 วัน
• เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราว สูงสุด 20% ของวงเงินหมุนเวียนเดิม ทั้งนี้ ไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม
• เปลี่ยนแปลงภาระหนี้ระยะสั้นเป็นภาระหนี้ระยะยาว ผ่อนชำระสูงสุด 3 ปี
มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะยาว
• ขยายระยะเวลาวงเงินกู้ สูงสุด 7 ปี
• ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปีแรกลง 0.5% หรือจ่ายดอกเบี้ยเพียง 50% ในช่วง 6 เดือนแรก
• พักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 1 ปี
• Top up วงเงินสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Prime Rate (สำหรับลูกค้าทั่วไปและลูกค้า SMEs) ของ EXIM BANK ในปัจจุบันเท่ากับ 6.25% ต่อปี โดยลูกค้าสามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือได้โดยลงทะเบียนผ่าน www.exim.go.th สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 หรือ Inbox Facebook “EXIM Bank of Thailand”

4.ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank
- มาตรการช่วยเหลือเงินกู้ระยะสั้น ขยายระยะเวลาตั๋วสัญญาใช้เงินสูงสุด 180 วัน เพิ่มวงเงินหมุนเวียนชั่วคราวสูงสุดร้อยละ 20 ของวงเงินหมุนเวียนเดิม วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 2 ล้านบาท และเปลี่ยนแปลงภาระหนี้ระยะสั้นเป็นภาระหนี้ระยะยาวผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 3 ปี
- มาตรการช่วยเหลือสำหรับวงเงินกู้ระยะยาว ขยายระยะเวลาเงินกู้สูงสุด 7 ปี ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปีแรกลงร้อยละ 0.50 หรือจ่ายดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 50 ในช่วง 6 เดือนแรก และพักชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 1 ปี รวมทั้งเพิ่มวงเงินสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ย Prime Rate ในปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 6.25
ทั้งนี้ แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สาขาของ SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ , LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

5.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
โครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย จำนวน 2 มาตรการ ประกอบด้วย
- กรณีลูกค้าปัจจุบัน ได้รับการลดเงินงวดและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เป็นระยะเวลา 1 ปี โดยจะพักชำระหนี้ใน 3 เดือนแรก พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เหลือร้อยละ 0 ต่อปี และเดือนที่ 4 – 12 คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.00 ต่อปี พร้อมลดเงินงวดลงร้อยละ 50 ของเงินงวดที่ชำระในปัจจุบัน
- กรณีลูกค้าปัจจุบันและลูกค้าใหม่ สามารถขอกู้ใหม่หรือกู้เพิ่มเพื่อซ่อมแซมหรือปลูกสร้างทดแทนหลังเดิม วงเงินกู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกันไม่เกิน 2 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยเดือนที่ 1 – 3 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี พร้อมปลอดชำระเงินงวด เดือนที่ 4 – 24 อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 2.00 ต่อปี
มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยธรรมชาติ ปี 2568
- มาตรการประนอมหนี้ สำหรับลูกค้าที่ค้างชำระเงินงวดติดต่อกันมากกว่า 3 เดือน หรือมีสถานะอยู่ระหว่างประนอมหนี้ ในกรณีหลักประกันเสียหาย 2) กรณีได้รับผลกระทบต่อรายได้ 3) กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวร และ 4) กรณีหลักประกันได้รับความเสียหายทั้งหลังไม่สามารถซ่อมแซมได้
ทั้งนี้ ลูกค้าที่มีสถานะหนี้ปกติสามารถเข้าร่วมมาตรการที่ 3) และ 4) ได้โดยจะพิจารณาเป็นรายกรณี
- มาตรการสินไหมเร่งด่วน สำหรับลูกค้าที่เป็นผู้ประสบภัย กรณีทำกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย ซึ่งคุ้มครองภัยธรรมชาติ จะได้รับค่าสินไหมเร่งด่วนกรณีพิเศษทั้งนี้ เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ ธอส. กำหนด โดยสามารถยื่นคำขอเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568

นอกจากนี้ ลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ยังสามารถเข้าร่วมมาตรการสินเชื่อซ่อม – แต่ง : สำหรับลูกค้าปัจจุบันของ ธอส. ที่ต้องการกู้เพิ่มเพื่อต่อเติม ซ่อมแซม หรือซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวเนื่องเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย มีการทำนิติกรรมสัญญาและผ่อนชำระเงินกู้กับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี วงเงินกู้เดิมภายใต้หลักประกันสูงสุด ไม่เกิน 5 ล้านบาท
ประวัติการผ่อนชำระสม่ำเสมอทุกเดือนไม่น้อยกว่า 1 ปี วงเงินให้กู้สูงสุดต่อรายต่อหลักประกัน ไม่เกิน 100,000 บาท ระยะเวลาการกู้สูงสุดนาน 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปีเพียง 1.00% ต่อปี กรณีกู้ 1 แสนบาท ผ่อนชำระเงินงวดเพียง 2,900 บาท เท่านั้น พิเศษ! ฟรีค่าประเมินราคาหลักประกัน 1,900 บาท โดยไม่ต้องจดทะเบียนการจำนองเพิ่มที่สำนักงานที่ดิน
สำหรับลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการ “โครงการเงินกู้เพื่อช่วยเหลือที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากสาธารณภัย” สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568 และลูกค้าที่ประสงค์ขอรับบริการ “มาตรการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปี 2568 ” ในมาตรการที่ 1-4 สามารถติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ได้ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2568
และมาตรการที่ 5 ติดต่อได้ที่สาขาของ ธอส. ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป รวมถึงผู้ที่สนใจเข้าร่วมมาตรการสินเชื่อซ่อม – แต่ง สามารถยื่นคำขอกู้ได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2568 เป็นต้นไป

6.ธนาคารออมสิน
ธนาคารพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการส่งมอบมาตรการทางการเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบเหตุ ผ่าน 2 มาตรการหลัก คือ
1.มาตรการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ลูกค้าเดิม โดยให้พักชำระเงินต้นทั้งหมด และลดดอกเบี้ยเป็น 0% เป็นระยะเวลา 3 เดือน สำหรับลูกค้าสินเชื่อธนาคารออมสิน 3 กลุ่ม ที่เดือดร้อนทรัพย์สินได้รับความเสียหาย หรือคุณภาพชีวิตและการดำเนินธุรกิจได้รับผลกระทบโดยตรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ได้แก่ ลูกค้าสินเชื่อธนาคารประชาชน ลูกค้าสินเชื่อเคหะที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 5 ล้านบาท และลูกค้าสินเชื่อ SME ที่มีวงเงินกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาท
2.มาตรการสินเชื่อฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือฟื้นฟูสำหรับบุคคลทั่วไป ธนาคารมอบสินเชื่อเงื่อนไขพิเศษ ได้แก่
- สินเชื่อฉุกเฉินผู้ประสบภัยพิบัติ วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 20,000 บาท/ราย ระยะเวลาผ่อนชำระ 24 เดือน ปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรก อัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับเดือนที่ 1 – 3 และเดือนที่ 4 เป็นต้นไป คิดอัตราดอกเบี้ย 0.60% ต่อเดือน
- สินเชื่อซ่อมแซมบ้าน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท/ราย ระยะเวลาผ่อนชำระ 10 ปี สำหรับลูกค้าใหม่ ส่วนลูกค้าปัจจุบันใช้ระยะเวลาผ่อนชำระตามสัญญาเดิม ปีที่ 1 คิดอัตราดอกเบี้ย 0% สำหรับ 3 เดือนแรก และเดือนที่ 4 – 12 = 2% ปีที่ 2 = 2% ปีที่ 3 = MRR-3.35% ปีที่ 4 เป็นต้นไป = MRR-0.75%
- สินเชื่อ SME ฟื้นฟูแผ่นดินไหว วงเงินกู้ไม่เกิน 40 ล้านบาท/ราย ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 10 ปี (ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 9 เดือน) คิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 – 2 = 2.99% ปีที่ 3 – 4 = MLR/MOR-0.5% และปีที่ 5 เป็นต้นไป = MLR/MOR+0.5% ทั้งนี้ สำหรับวงเงินกู้ไม่เกิน 10 ล้านบาท ธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ย 3 เดือนแรก = 0% หลังจากนั้น เดือนที่ 4 – 24 = 2.99% ปีที่ 3 – 4 = MLR/MOR-0.5% และปีที่ 5 เป็นต้นไป = MLR/MOR+0.5%
โดยลูกค้าและบุคคลทั่วไปสามารถติดต่อได้ที่สาขาธนาคารออมสินหรือสาขาที่มีบัญชีเงินกู้อยู่ เพื่อแจ้งความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการบรรเทาความเดือดร้อนได้ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม 2568 และยื่นขอสินเชื่อได้ตั้งแต่วันที่1 เมษายน – 30 กันยายน 2568 เงื่อนไขเป็นไปตามประกาศของธนาคาร หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมหรือความช่วยเหลืออื่นใด โปรดติดต่อ GSB Contact Center โทร. 1115 และที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th