มาตรการคู่! “คลัง” ลดค่าโอน-จำนอง 0.01% ผนึก LTV หนุนอสังหาฯ

ออกมาตรการคู่! “คลัง” หั่นค่าโอน-จดจำนอง เหลือ 0.01% บ้าน-คอนโดไม่เกิน 7 ล้าน ควบคู่ LTV เร่งกระตุ้นภาคอสังหาฯ

วันนี้ (8 เม.ย.68) นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 เม.ย.68 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย ดังนี้

  1. ลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ (จากปกติ 2%) เหลือ 0.01%
  2. ค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์ อันเนื่องมาจากการจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวในคราวเดียวกัน (จากปกติ 1%) เหลือ 0.01%

กลุ่มเป้าหมาย

  1. ผู้ซื้อซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทยที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง
  2. ผู้ขายที่ต้องการขายอสังหาริมทรัพย์ทั้งที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัย อาคารพาณิชย์ และห้องชุด ในราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาท

สำหรับการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์

  • อาคารที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือบ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารดังกล่าว
  • ห้องชุดที่จดทะเบียนอาคารชุด โดยมีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 7 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 7 ล้านบาทต่อสัญญา โดยไม่รวมถึงกรณีการขายเฉพาะส่วน

ระยะเวลาดำเนินการ

  • ให้มาตรการดังกล่าวมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่กฎหมายได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2569

นายเผ่าภูมิกล่าวว่า กระทรวงการคลังต้องการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยบรรเทาปัญหาอุปทานคงค้างที่อยู่ในระดับสูง จึงกำหนดระยะเวลามาตรการนี้ ให้สอดคล้องกับมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งจากข้อมูลในอดีต เมื่อ 2 มาตรการนี้ทำงานควบคู่กัน ในช่วงเวลาเดียวกัน จะส่งผลบวกต่อภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก

ทั้งนี้ ภาคอสังหาริมทรัพย์มีความสำคัญมีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจอื่น ๆ ตลอดห่วงโซ่อุปทานการผลิต ทั้งความเชื่อมโยงไปข้างหน้า (Forward Linkage) ไปยังภาคการผลิตต่าง ๆ เช่น สาขาการค้า สถานที่เก็บสินค้าและบริการสินค้า บริการทางการเงิน การประกันชีวิต วิทยุและโทรทัศน์ บริการบันเทิงและบริการส่วนบุคคล

“และมีผลต่อความเชื่อมโยงไปข้างหลัง (Backward Linkage) เช่น สาขาการผลิตเหล็ก การผลิตซีเมนต์ การผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต โรงเลื่อย การผลิตโลหะ การผลิตเครื่องจักร เป็นต้น” นายเผ่าภูมิกล่าว