ประเทศไทยจะเป็นเช่นไร? เมื่อเผชิญกับแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ที่ต้องการความเปลี่ยนแปลง

ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ โดยขาดแผนแม่บทและนโยบายที่จะดูแลแก้ไขในระยะยาว ซึ่งยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการจัดการปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าของผู้ประกอบการไทยอย่างตรงจุด

คอลัมน์ : ห้อยหัววิเคราะห์ข่าว

เมื่อเร็วๆ นี้ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%จาก 2.25% เหลือ 2% โดยมีผลทันที เหตุผลเพื่อลดต้นทุนทางการเงินให้แก่ผู้ประกอบการ ลดภาระดอกเบี้ยให้กับผู้กู้เงินในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ และเป็นการสร้างกระแสเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจอีกด้วย อย่างไรก็ตาม การลดดอกเบี้ยนโยบายดังกล่าวถือเป็นสัญญาณชัดเจนที่สะท้อนถึงสภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างรุนแรง ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายเนื่องจากขาดความมั่นใจในสภาวะเศรษฐกิจ โดยเศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัวต่ำกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้คาดคะเนไว้ จากอัตราการโตของ GDP ที่ 2.9% ก่อนหน้านี้ เหลือเพียงเติบโตกว่า 2.5% เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมการผลิตภายในประเทศในหลากหลายอุตสาหกรรม อันได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ ที่เริ่มปรับเปลี่ยนสายการผลิตจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในการสันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมกรรมการผลิตอื่นๆ ที่เริ่มใช้ AI เทคโนโลยีหรือสายการผลิตแบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบมาทดแทนการผลิตแบบกึ่งอัตโนมัติที่ยังต้องใช้กำลังคนในบางสายการผลิต

นอกจากนี้ ผู้ประกอบการไทยยังต้องเผชิญกับผลกระทบของสงครามทางการค้าที่ประเทศมหาอำนาจมีต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นระหว่างสหรัฐอเมริกากับจีน ที่จะส่งผลให้มีการทะลักของสินค้าจีนราคาถูกเข้ามาสู่ตลาดไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่องทางออนไลน์ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นไทยยังตกลงอย่างต่อเนื่องจาก 1,800 จุด มาเป็น 1,186 จุด เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ถือเป็นการตกลงของตลาดหุ้นไทยที่ต่ำกว่า 1,200 จุดเท่ากับในช่วงวิกฤตโควิด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นความเสี่ยงทางเศรษฐกิจที่คนไทยอย่างเราๆ จะต้องเผชิญในอนาคตอันใกล้นี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

จะเห็นได้ว่ารัฐบาลไทยยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจนในการจัดการปัญหาทางเศรษฐกิจที่รุมเร้าผู้ประกอบการไทยอย่างตรงจุดและยั่งยืน โดยรัฐบาลพุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นแหล่งหลักเพียงแหล่งเดียวที่จะสร้างรายได้ให้กับประเทศ โดยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยรวมทั้งสิ้นจำนวน 35.5 ล้านคนเมื่อปีที่แล้ว และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 39.5 ถึง 40 ล้านคนในปีนี้ ในเดือนมกราคมปีนี้ มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนทั้งสิ้น 3.7 ล้านคน คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 20% แต่ลดลงไปเหลือโตแค่ 11% ในเดือนกุมภาพันธ์ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวจะดีหรือไม่จึงขึ้นอยู่ปัจจัยแวดล้อมต่างๆ ที่เราควบคุมไม่ได้ เช่น สถานการณ์สงคราม เศรษฐกิจและการเมืองโลกเป็นต้น

แต่อุตสาหกรรมอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร และอุตสาหกรรมบริการ ยังขาดการดูแลและสร้างแรงกระตุ้นจากภาครัฐเท่าที่ควร หากแต่รัฐบาลกลับหันไปเน้นแคมเปญประชานิยมเหมือนที่เคยทำในอดีตด้วยการทุ่มเงินงบประมาณจำนวนมากกว่า 450,000 ล้านบาท ด้วยการแจกเงินให้เปล่า 10,000 บาท หรือ Digital Wallet ให้กับคนในกลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ โดยหวังว่ากิจกรรมดังกล่าวจะสร้างพายุหมุนในการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ในภาพรวม แต่จากที่รัฐบาลได้แจกเงินไปบางส่วนแล้วแต่ก็ยังไม่เห็นผลกระทบเชิงบวกทางเศรษฐกิจแต่อย่างใด ดูได้จากอัตราการเติบโตของ GDP ในไตรมาส 4 ปีที่แล้วที่ 3.2% ซึ่งต่ำจากที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.8% ทั้งที่รัฐบาลได้จ่ายเงินงบประมาณกว่า 100,000 ล้านบาทในการแจกเงินให้กับกลุ่มผู้สูงอายุเมื่อปลายเดือนกันยายน

และคาดว่าน่าจะมีการใช้จ่ายกันในเดือนตุลาคมที่จะช่วยกระตุ้นการหมุนของเศรษฐกิจและส่งผลถึงการเจริญเติบโตของ GDP ในไตรมาสที่ 4 ทั้งนี้ พบว่าผู้บริโภคได้ใช้จ่ายเงินที่ได้จากแคมเปญ Digital Wallet ในการบรรเทาภาระหนี้ โดยเฉพาะหนี้นอกระบบและการบริโภคตามปกติ ซึ่งการใช้จ่ายดังกล่าวไม่ได้เป็นการสร้างพายุหมุนทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ

จากที่กล่าวมาแล้ว เราจะเห็นได้ว่าประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ความเสี่ยงทางเศรษฐกิจโดยขาดแผนแม่บทและนโยบายที่จะดูแลแก้ไขในระยะยาว   ยกตัวอย่างเช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านโครงสร้างการผลิตจากรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการสันดาปเป็นรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า อุตสาหกรรมปิโตรเลียมที่เป็นอุตสาหกรรมพระอาทิตย์ตก หรือ Sunset Industry และกำลังเคลื่อนย้ายตนเองไปสู่พลังงานสะอาดหรือ Green Energy หรือแม้แต่การปิดตัวของโรงงานต่างชาติโดยเฉพาะญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทยมาเป็นเวลานานกว่า 30-40 ปี แต่ประสบปัญหาสินค้าตกยุค หรือโรงงานที่เคลื่อนย้ายตนเองจากประเทศไทยไปยังประเทศอื่นๆ อย่างเช่นประเทศเวียดนาม ที่ให้บริการด้านสาธารณูปโภค มีการเสนอสิทธิพิเศษในการลงทุนและความปลอดภัยที่ดียิ่งกว่า

ปัจจุบัน นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงผู้บริโภค ยังขาดความเชื่อมั่นถึงทิศทางที่ประเทศไทยต้องการที่จะไปในอนาคต ประเทศยังขาดรัฐบาลที่สามารถสร้าง Big Change หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ให้กับประเทศได้ไปสู่อุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่เป็นอนาคตของประเทศ รวมถึงการลงทุนในด้านการศึกษาเพื่อพัฒนาบุคลากรที่ฉลาดและมีคุณภาพ รู้เท่าทัน สอดคล้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หากประเทศชาติไม่ได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างทันท่วงที ประชาชนอย่างเราก็คงต้องอยู่ท่ามกลางความเสี่ยงที่ถาโถมเข้ามาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้…

ผู้เขียน : ดร.ขวัญชัย รุ่งฟ้าไพศาล อดีตบรรณาธิการ โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 30 ปี