แนวโน้มค้าปลีกไทยปี 2568 จะตายหรือรอดในสมรภูมิออนไลน์

แนวโน้มค้าปลีกไทยปี 2568 จะตายหรือรอดในสมรภูมิออนไลน์ ปีนี้เราจะได้เห็นการแข่งขันอย่างเข้มข้นทั้งจากธุรกิจค้าปลีกด้วยกันเองและธุรกิจขายของออนไลน์

ปี 2568 น่าจะเป็นอีกปีหนึ่งที่ท้าทายสำหรับธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทย ที่จะต้องเผชิญกับสภาวะตลาดถดถอยเนื่องจากความเชื่อมั่นในสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง

นอกจากนี้ สังเกตได้จากตลาดหุ้นไทยที่มีโอกาสจะตกลงทะลุ 1,200 จุด เหมือนในช่วงวิกฤตโควิด ทั้งนี้ เรายังไม่เห็นปัจจัยใดๆ ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจของบ้านเรา ไม่มีนวัตกรรม ไอเดียใหม่ๆ รวมถึงแหล่งที่มาอื่นๆ ของการเติบโตทางเศรษฐกิจนอกเหนือจากการท่องเที่ยวที่สร้างเม็ดเงินหล่อเลี้ยงประเทศตลอดมา การผ่อนคลายกระแสเงินโดยการลดอัตราดอกเบี้ยไม่สามารถแก้ปัญหาได้แต่เป็นแค่การทำให้ประชาชนรู้สึกดีขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น ในปีนี้ยังจะเป็นปีที่ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้ชีวิตด้วยการเคลื่อนย้ายตนเองเข้าไปยังโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคคอนเทนต์ การทำกิจกรรมต่างๆ ผ่านมือถือ รวมถึงการจับจ่ายสินค้าออนไลน์อีกด้วย

ในปีนี้ เราจะได้เห็นการแข่งขันอย่างเข้มข้นไม่ว่าจะจากธุรกิจค้าปลีกด้วยกันเองและจากธุรกิจขายของออนไลน์ โดยเฉพาะสินค้าออนไลน์จากประเทศจีน ที่อาศัยราคาถูกเป็นกลยุทธ์หลักในการเข้าแทรกแซงตลาดไทย เนื่องจากสินค้าออนไลน์เหล่านี้อาศัยการดำเนินการด้วยต้นทุนคงที่ หรือ fixed cost ที่ต่ำกว่าเพราะไม่ต้องอาศัยหน้าร้านหรือการสต๊อกสินค้าจำนวนมาก ยิ่งร้านค้าที่ต้องยืมจมูกคนอื่นหายใจ เช่นไม่มีที่ทางเป็นของตนเองหรือจำเป็นต้องเช่าพื้นที่ค้าปลีกในห้างหรือตามห้องแถว ยิ่งทำให้ต้นทุนในการทำธุรกิจของตนเองสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคตจากต้นทุนคงที่ที่จะต้องจ่ายออกไปในแต่ละเดือน ยังไม่รวมบุคลากรหรือพนักงานขายประจำร้าน การซื้อขายสินค้าออนไลน์หรือ online shopping ดูเหมือนจะมีต้นทุนในการดำเนินงานที่ถูกกว่า แต่สิ่งที่ผู้บริโภคพบได้ในร้านค้าปลีกแต่หาไม่ได้ในร้านค้าออนไลน์ก็คือเสน่ห์และประสบการณ์ร่วมในการเลือกหาและจับจ่ายสินค้า ซึ่งประสบการณ์การช้อปเหล่านั้นจะต้องเหนือความคาดหวังของผู้บริโภคและกระทบที่จิตใต้สำนึกของพวกเขากลายเป็นความประทับใจไม่รู้ลืม

ผศ.ดร.บุปผา ลาภะวัฒนาพันธ์ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและการสร้างแบรนด์ มองว่า ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายรอบด้าน สวนทางกับกำลังซื้อที่ลดลง ทั้ง การแข่งขันที่รุนแรง (คู่แข่งทางตรง คู่แข่งทางอ้อม และคู่แข่งข้ามแพลตฟอร์ม) / ความก้าวหน้าของ เทคโนโลยีทางการตลาด (MarTech) / พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป (โดยเฉพาะพฤติกรรม ผู้บริโภคยุคใหม่ “Generation Connected” ที่เชื่อมต่อกับ Internet ผ่านมือถือเกือบ 24 ชั่วโมง) จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หากวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจค้าปลีกในประเทศไทยพบว่ามี 5 Trends หลักๆ ด้วยกัน ได้แก่

1. จับตามองกลุ่มเป้าหมายแห่งอนาคต ความหวังครั้งใหม่กับ “Solo Consumer” สังคมคนโสด ด้วยจำนวนคนโสดเพิ่มขึ้นทั่วโลกไม่เฉพาะประเทศไทย ความต้องการอิสระ ไม่ผูกมัดชีวิตกับใคร มีโลกส่วนตัวมากขึ้น ใช้ชีวิตตามไลฟ์สไตล์ที่อยากเป็น หรือสนุกกับงานจนไม่อยากมีครอบครัว ถือเป็น กลุ่มตลาดเป้าหมายใหม่ของธุรกิจค้าปลีกที่น่าจับตามอง

2. การเข้าถึงความเป็นส่วนตัวของลูกค้าได้แบบเฉพาะบุคคล (Hyper Personalization) สร้างประสบการณ์ยิ่งกว่าคนรู้ใจ เข้าถึงตัวของลูกค้าได้ เฉพาะเจาะจง การเติบโตของ MarTech แบบก้าวกระโดด ทำให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกและเข้าใจความต้องการของลูกค้าแบบลึกซึ้ง (Deep Insight)

3. “Influencer” ทรงพลังไม่เปลี่ยนแปลง ผู้นำเทรนด์และกำหนดทิศทางธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะ Micro-Influencer ที่มีฐานผู้ติดตามเฉพาะกลุ่มอย่างเหนียวแน่น ภักดีแบบเชียร์สุดใจ ช่วยให้เข้าถึง กลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ตอกย้ำความสำเร็จว่า แบรนด์ปังไม่ต้องเสียตังค์เยอะ

4. ภาพของการรวมช่องทางการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า การตลาด และการขาย มาไว้ในที่เดียวทั้งออฟไลน์และออนไลน์ หรือ Omnichannel Integration จะชัดเจนขึ้นจนผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเงินลงทุน และระยะเวลาเตรียมการที่มากพอ ประสบการณ์แบบไร้รอยต่อจะทำให้ทุกการจับจ่ายมีสีสันและ Active แบบ Real-time

5. การทำให้เรื่องงานและชีวิตส่วนตัวผสมผสานเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างลงตัว (Work Life Harmony) จะเริ่มเข้ามาแทนที่การแบ่งเวลางานและเวลาส่วนตัวให้สมดุลกัน (Work Life Balance) เพราะ Work Life Balance คือ การทำงาน เลิกงาน แล้วใช้เวลาว่างในการทำสิ่งที่ชอบ แต่ Work Life Harmony กลับเป็นการ ทำงานและการใช้ชีวิตในแบบที่ชอบได้ในเวลาเดียวกัน

นอกจากนี้ เราจะยังได้เห็นแนวโน้มการใช้เทคโนโลยีที่เพิ่มมากยิ่งขึ้นในธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะ AI ที่จะถูกใช้ในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดการสินค้าคงคลัง การสร้างฐานข้อมูลลูกค้าเป้าหมาย การวิเคราะห์พฤติกรรม ความชอบและความต้องการลูกค้า ทั้งนี้ เพื่อช่วยปรับปรุงประสบการณ์การช้อปปิ้งและบริการที่เหนือความคาดหวัง แชทบอทและผู้ช่วยเสมือนที่ขับเคลื่อนด้วย AI เป็นอีกหนึ่งเทรนด์ค้าปลีกที่จะช่วยปรับปรุงการบริการลูกค้าด้วยการสนับสนุนทันทีตลอด 24 ชั่วโมง ในทุกๆ วัน และการโต้ตอบกับลูกค้าแบบเฉพาะตัว อุตสาหกรรมค้าปลีกยังจะให้ความสำคัญกับการเสนอสินค้าที่คลอบคลุมและหลากหลายมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างผลิตภัณฑ์สำหรับกลุ่มผู้บริโภคใหม่ๆ ในสังคม อย่างเช่น กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พิการ หรือชนกลุ่มน้อย เป็นต้น ทั้งนี้ ยังรวมถึงสินค้าที่พัฒนาขึ้นมาอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์หรือความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่ม

ทั้งหมดเป็นแนวโน้มค้าปลีกที่จะเกิดขึ้นในปี 2568 นี้ หนทางอยู่รอดของผู้ประกอบการค้าปลีกไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์จึงขึ้นอยู่กับการสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจและความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้า นำไปสู่การรักษาลูกค้ากลุ่มเดิมให้มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์และขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มเติม

ผู้เขียน : ดร.ขวัญชัย รุ่งฟ้าไพศาล อดีตบรรณาธิการ โต๊ะข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ เดอะ เนชั่น ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมากว่า 30 ปี