วันนี้ (30 ม.ค.68) นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า คืบหน้าการปรับปรุงพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพิ่มอำนาจให้กับเจ้าหน้าที่ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ล่าสุดอีก 2 สัปดาห์จะนำเรื่องเข้าคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อ ครม.เห็นชอบแล้ว จากนั้นจะส่งร่าง พ.ร.ก.ฯ ไปที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และประกาศผ่านราชกิจจานุเบกษา ให้มีผลบังคับใช้ทันที
นายพิชัยกล่าวว่า ขณะนี้เรื่องอยู่ระหว่างการถามความคิดเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคาดว่าไม่มีปัญหา เมื่อพิจารณาแล้วหน่วยงาน ผู้บริหาร เข้าใจถึงข้อกฎหมายที่ได้ปรับปรุงใหม่ต้องได้รับผลกระทบ หรือต้องเกี่ยวข้องด้วย เบื้องต้นคาดว่าประกาศใช้ภายในเดือนก.พ.68
สำหรับอำนาจจะเหมือนกับอำนาจการสั่งฟ้อง ที่ผ่านมา จะดำเนินการเรื่องต่างๆ ก.ล.ต.ต้องส่งเรื่องไปที่ตำรวจ หรืออัยการ แต่เมื่อมีการปรับปรุงกฎหมายแล้ว ก.ล.ต.สามารถดำเนินการเอาผิดได้เลย โดยจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากขึ้น
“เมื่อเราปล่อยให้เรื่องเกิดขึ้น แล้วปล่อยไว้นาน หลักฐานหาย ทำให้ความเสียหายเกิดขึ้น อีกทั้งมีความเสียหายต่อเนื่อง แล้วคนที่ได้รับผลกระทบอยู่ในบริษัทนั้นๆ เมื่อ ก.ล.ต.มีอำนาจจะได้ช่วยดำเนินการให้รวดเร็วขึ้น”นายพิชัยกล่าว
สำหรับอำนาจของ พ.ร.ก.ดังกล่าว เป็นอำนาจตามคดีอาญา โดยในชั้นสอบสวน ก.ล.ต. จะมีการทำงานร่วมกับตำรวจและกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งจะขึ้นอยู่เคสคดีที่จะเข้าเงื่อนไข จากนั้นจะส่งเรื่องไปฟ้องที่อัยการ ทำให้ระยะเวลาในการดำเนินคดีลดลงด้วย
ทั้งนี้ จะเพิ่มบทลงโทษจากการกระทำความผิดในการซื้อขาย เช่น ชอร์ตเซล ที่จะดำเนินการไปถึงตัวผู้กระทำผิดที่จะต้องรับโทษทางกฎหมาย และเรื่องอื่นๆ จะเกี่ยวข้องกับการยกระดับพวก Gatekeeper ที่ปัจจุบันมีข้อจำกัดเรื่องของดำเนินการ เช่น การเอาผิดกับสำนักงานสอบบัญชี, การเข้มงวด FA เป็นต้น
นายพิชัยกล่าวว่า นอกจากนี้ กระทรวงการคลังมีแผนที่จะให้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) ออกพันธบัตร ลักษณะคล้าย stablecoin วงเงิน 10,000 ล้านบาท เนื่องจากเดิมทีรัฐบาลออกพันธบัตรมาจำนวนมาก
แต่ส่วนใหญ่จะไปกองอยู่ในมือของสถาบัน ส่วนที่อยู่ในมือของบุคคลส่วนใหญ่ก็ถูกนำไปเก็บไว้ รัฐบาลจึงมีแนวคิดกระจายไปให้กับคนที่ไม่ได้ลงทุน แต่ต้องการลงทุนในระยะยาวนำไปใช้ซื้อขายแลกเปลี่ยนได้
โดยวิธีการคือจะเริ่มทีละน้อยๆ หรือแบ่งเป็นลอตๆ เพื่อทดสอบระบบก่อน เพื่อให้โอกาสรายทั่วไปได้ลงทุน และอาจจะแบ่งเป็น token ด้วย เช่น 1 บาทต่อหนึ่ง token เป็นต้น ดังนั้นหมายความว่าทุกคนจะมี token ถือเอาไว้ ซึ่งสามารถนำไปลงทุนได้
และเมื่อเข้ามาอยู่ในแพลตฟอร์มที่กระทรวงพัฒนาขึ้นจะสามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ง่าย โดยจะมีหน่วยงานที่ดูแลเรื่องนี้ แทนที่จะเก็บไว้นิ่งๆ ในธนาคาร เพื่อกินดอกเบี้ยเท่านั้น
“โดยจะเป็นการออกพันธบัตรใหม่ ด้วยจำนวนกลุ่มคนก็ถือว่าเป็นแซนบ๊อกซ์ เรียกว่าเป็น Tokenize แต่เมื่อได้รับความน่าเชื่อถือขนาดนั้นก็จะคล้ายๆ กับ stablecoin”นายพิชัยกล่าว
นายพิชัยกล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างพัฒนาแพลตฟอร์มขึ้นมาใหม่ เพื่อเชื่อมกับดิจิทัลแพลตฟอร์มเดิมที่มีอยู่แล้ว โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้ได้ภายในปีนี้ เบื้องต้นจะเริ่มที่วงเงิน 10,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ เผยว่าอยากเห็น ก.ล.ต.ใช้กฎหมายสินทรัพย์ดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่อง Asset-backed, tokenization ที่มี Asset-backed เพราะวันนี้ไม่ว่าจะเป็นหลักทรัพย์เดิม หรือสินทรัพย์ดิจิทัลล้วนเป็นนักลงทุนกลุ่มเดียวกัน จึงต้องการให้เชื่อมกันได้โดยไม่มีรอยต่อ
และปัจจุบันมีเงินค้างอยู่ในบริษัทหลักทรัพย์ค่อนข้างมาก จึงต้องการเห็นบริษัทหลักทรัพย์หันมาประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลที่มากขึ้น เพื่อร่วมส่งเสริมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล ดีกว่าการจัดตั้งบริษัทขึ้นมาใหม่ ซึ่งจะทำให้การดำเนินการมีความคล่องตัว