กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม! พ่อเลี้ยงฝากนักข่าวตามคดี อ้างเด็ก 10 ขวบ ชอบพูดโกหก 

ตำรวจคุมตัวพ่อเลี้ยง อนาจาร ด.ญ. 10 ขวบ จนอวัยวะฉีกขาด ไปตรวจร่างกาย-เก็บ DNA ก่อนฝากขัง เจ้าตัว ยืนยัน ไม่ได้ทำ ฝากนักข่าวตามคดี อ้างเด็กคนนี้ชอบพูดโกหก กลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม

จากคดี ด.ญ. 10 ขวบ ถูก 3 ชายหื่นใช้ไม้แทงอวัยวะเพศ สู่คดีพ่อเลี้ยงอนาจารลูกเลี้ยง แต่เจ้าตัวยังคงปฏิเสธเสียงแข็งว่าไม่ได้ทำ ทั้งๆ ที่หลักฐานชี้ชัด!  



ความคืบหน้าวันนี้ (18 ก.พ.68) พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวนายอนุพงศ์ หรือโอ๊ต พ่อลี้ยง ไปตรวจร่างกาย และตรวจดีเอ็นเอ ที่โรงพยาบาลหนองใหญ่ เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี แต่ระหว่างนำตัวมาควบคุมที่ สภ.หนองใหญ่ ทีมข่าวได้สอบถามว่า อยากพูดอะไรไหม ยังให้การปฏิเสธหรือไม่ พ่อเลี้ยงตอบว่า “ช่วยตามเรื่องการตรวจดีเอ็นเอของตนเองด้วย เพราะกลัวไม่ได้รับความเป็นธรรม อีกทั้งยังบอกว่าเด็กผู้เสียหายมักพูดโกหกเป็นประจำ และยังให้การปฏิเสธตลอดทุกข้อกล่าวหา” 

ด้าน พ.ต.อ. กฤษณ์ มาสุข ผกก. สภ.หนองใหญ่ เปิดเผยว่า ผู้ต้องหายังให้การปฏิเสธ แต่ตำรวจมีหลักฐานเพียงพอ ที่ทำให้ศาลออกหมายจับ ทั้งนี้ ตำรวจก็รู้สึกแปลกๆ ตั้งแต่ทีแรก จึงลงพื้นที่ตรวจสอบและสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อเท็จจริง โดยการออกหมายจับ มาจากการการสอบปากคำที่ให้การที่ไม่ตรงความจริงหลายอย่าง, ไทม์ไลน์ช่วงก่อนเกิดเหตุ และเหตุผลสำคัญมาจากการที่เด็กผู้เสียหายให้การว่าพ่อเลี้ยงเป็นคนก่อเหตุ และถูกกระทำโดยของแข็งบางอย่างที่ไม่สามารถระบุได้ว่าคืออะไร แต่ภายหลังก็ทราบว่าเป็นการล่วงละเมิดทางเพศโดยพ่อเลี้ยงเอง ไม่ได้ใช้ไม้ก่อเหตุแต่อย่างใด 

ในขณะที่ผลตรวจร่างกายของเด็กผู้เสียหาย แพทย์ระบุว่า บาดแผลเกิดจากการถูกของแข็ง และเป็นบาดแผลที่เกิดขึ้นแค่ช่วงข้ามคืน ส่วนที่เด็กผู้เสียหายเคยเล่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา โดยเริ่มจากการที่อ้างว่าหกล้ม แต่แพทย์ที่ตรวจอาการยืนยันว่าไม่ได้เกิดจากอุบัติเหตุ ต่อมาเด็กเปลี่ยนบอกว่าเพื่อนแกล้ง เมื่อสอบถามว่าเพื่อนคนไหนแกล้ง เด็กก็พูดชื่อเพื่อนมาคนหนึ่ง แต่พอไปตรวจสอบหาข้อมูลและสอบถามจากเพื่อนที่ถูกพาดพิงก็ปรากฏว่าไม่ใช่เรื่องจริง 

จากนั้นเด็กจึงอ้างว่าถูกกระทำโดยชาย 3 คน ที่มาตกปลาในบ่อน้ำข้างโรงเรียน ซึ่งจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิด และพยานบุคคลที่อยู่โรงเรียนไม่พบชาย 3 คน แต่อย่างใด จึงเชื่อว่าเด็กถูกบังคับไม่ให้พูดความจริง จึงต้องโกหกไปเรื่อยเพื่อเอาตัวรอด 

ส่วนช่วงเวลาก่อเหตุนั้น เชื่อว่าน่าจะเกิดหลังจากที่แม่ไปรับเด็กผู้เสียหายจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน จากนั้นแม่ก็ไปทำงานต่อจนถึง 3 ทุ่ม ส่วนพี่ชายของเด็กผู้เสียหายแข่งฟุตบอลที่โรงเรียน โดยมีครูพามาส่งที่บ้านหลังจากแข่งบอลเสร็จ ระหว่างนั้นพ่อเลี้ยงกลับมาบ้าน ทำให้ช่วงเวลานั้น พ่อเลี้ยงอยู่กับเด็กเพียง 2 คน จึงอาจสบโอกาสก่อเหตุในช่วงเวลาดังกล่าว หลังจากที่พ่อเลี้ยงถูกจับกุม แม่ของเด็กก็ไม่เชื่อว่าสามีเป็นผู้ก่อเหตุ 

หลังจากนำตัวนายอนุพงษ์ ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลเสร็จ เจ้าหน้าที่ได้นำตัวกลับมาควบคุมยังห้องขัง ที่สถานีตำรวจภูธรหนองใหญ่ เพื่อรอนำไปฝากขังที่ศาลจังหวัดชลบุรี โดยทางพนักงานสอบสวน ได้ยื่นคำร้องคัดค้านการประกันตัวต่อศาล โดยให้เหตุผลว่า คดีนี้อัตราโทษสูง กลัวว่าผู้ก่อเหตุจะมายุ่งเยิงกับรูปคดี และกลัวว่าจะหลบหนี  

ผู้สื่อข่าว จึงได้เดินทางไปที่บ้านพักของนายอนุพงษ์ ได้พบกับนางสาวน้อยหน่า แม่ของเด็ก ซึ่งเป็นเมียของนายอนุพงษ์ โดยนางสาวน้อยหน่า ได้บอกว่าในตอนนี้รู้สึกสับสนไปหมด ยังไม่เชื่อใครทั้งนั้น ทั้งตำรวจและสามี จนกว่าผลพิสูจน์หรือว่าหลักฐานต่างๆ จะชี้ชัด ว่าสามีเป็นคนทำ แต่ถ้าหากว่าข้อพิสูจน์ต่างๆ ได้ระบุว่าสามีเป็นคนทำ ก็พร้อมที่จะตัดใจเลิกลากันไป พร้อมที่จะเริ่มต้นชีวิตใหม่ และไม่คิดจะไปเยี่ยมหรือติดต่ออีกต่อไป  

ด้าน นางนก ซึ่งเป็นแม่ของผู้ต้องหา ก็ยังคงเชื่อมั่นในตัวลูก ว่าลูกไม่ได้เป็นคนทำ พร้อมบอกว่า “เวลาพ่อเขาชวนไปตกปลายิงนกเขายังไม่ทำเลย ขนาดยุงยังไม่กล้าตบ ต้องขยันต้องซื้อยากันยุงมาทา ส่วนเรื่องประกันตัว หากตำรวจให้ประกันก็คงจะต้องหยิบยืมกู้เขามาประกันตัวลูกชาย บอกตรงๆ ว่าตอนนี้สงสารลูก หากเจอลูกคำแรกที่จะบอกก็คือรักลูกนะ สู้ๆ และถามลูก เพราะอยากได้ยินจากปากว่าทำจริงหรือไม่   

ล่าสุด เมื่อเวลา 13.15 น. วันนี้ (18 ก.พ.68) ทางพนักงานสอบสวน ได้นำตัวนายอนุพงศ์ ออกจากห้องคุมขัง เพื่อพาตัวไปฝากขังผลัดแรก ที่ศาลจังหวัดชลบุรี โดยมีนางสาวน้อยหน่า มายืนให้กำลังใจตลอดเส้นทางที่จะเดินขึ้นรถ นายอนุพงศ์ ได้พูดเพียงแต่ว่า “ผมไม่ได้ทำ ผมไม่ได้ผิด ผมยังรักเมียเหมือนเดิม รักลูกเหมือนเดิม ผลนิติวิทยาศาสตร์ ก็ยังไม่ออกมา เครียดครับ อยู่ๆ ก็โดนจับ สิ่งที่ผมทำผมอยากยืนยันให้เห็นว่าผมนั้นไปทำงานจริง พยายามให้ข้อมูลที่ตรงตามที่ขอก็พาไป ยืนยันว่าไม่ได้ทำลูกแน่นอน และได้บอกกับเมียว่ารีบตามผมมานะผมไม่มีใคร” 

ก็ยังต้องจับตาดูกันต่อค่ะ ว่าเรื่องนี้มันเป็นยังไงกันแน่?