สอบสวนกลาง บุกรวบ “โค้ชฟุตซอล” รร.ดัง กระทำอนาจารนักกีฬา

สอบสวนกลาง บุกเข้าจับกุม “ธีรวัฒน์” โค้ชฟุตซอลโรงเรียนชื่อดังดีกรีแชมป์กรมพละ หลังก่อเหตุอนาจารนักกีฬา – บังคับมีสัมพันธ์หมู่ – เผยทำมานานกว่า 8 เดือน

วันนี้ (11 ก.พ.68) พ.ต.อ.ทรงกลด เกริกกฤตยา รรท.ผบก.ปคม. พร้อมคณะตำรวจสอบสวนกลาง นำกำลังเข้าจับกุม นายธีรวัฒน์ อายุ 35 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 883/2568 ลงวันที่ 11 ก.พ.2568 ข้อหา “กระทำอนาจารเด็ก และ พรากเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี ไปเพื่อการอนาจาร, บังคับขู่เข็ญหรือชักจูงให้เด็กประพฤติมิชอบ” โดยจับกุมตัวได้ที่ สนามกีฬาแห่งหนึ่ง บริเวณ ถ.รามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจาก นายธีรวัฒน์ ผู้มีตำแหน่งเป็นถึงโค้ชนักกีฬาทีมฟุตซอลโรงเรียนชื่อดังในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งโด่งดังจากการพาทีมคว้าแชมป์ฟุตซอลกรมพลศึกษา 3 ปีซ้อน แต่กลับมีพฤติกรรมกระทำอนาจารนักเรียนชายที่เป็นนักกีฬาในทีมของตัวเอง ด้วยการบังคับให้ช่วยสำเร็จความใคร่ให้ตัวเอง อีกทั้งยังบังคับให้นักเรียนชาย ร่วมสัมพันธ์หมู่กับหญิงสาวพร้อมตนเองบ่อยครั้ง พร้อมตั้งกล้องถ่ายวิดีโอบันทึกเก็บไว้ โดยกระทำเช่นนี้มานานกว่า 8 เดือน ตั้งแต่เดือน มิ.ย.2567 ถึงเดือน ก.พ.2568 ที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่ามีเด็กนักเรียนตกเป็นเหยื่อ 3 ราย โดยเหยื่อส่วนใหญ่จำยอมไม่กล้าขัดขืน เพราะถูกผู้ต้องหาใช้ตำแหน่งและอำนาจในการควบคุมนักกีฬาสั่งบังคับ

กระทั่งกลุ่มเด็กนักเรียนที่ตกเป็นเหยื่อเริ่มทนกับพฤติกรรมของ นายธีรวัฒน์ ไม่ไหว จึงนำเรื่องไปบอกให้ผู้ปกครองทราบ ก่อนพากันเข้าร้องขอความช่วยเหลือกับทางตำรวจ ปคม. จนมีการรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลออกหมายจับ

จากนั้นจึงนำตัวขยายผลเข้าตรวจค้นห้องพัก ก่อนสามารถตรวจยึดของกลาง ซึ่งน่าเชื่อว่าเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิด ประกอบด้วย โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง , ไอแพด 1 เครื่อง , เสื้อยืด และกางเกงขาสั้น 1 ชุด  

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลภายในโทรศัพท์มือถือของผู้ต้องหา พบภาพนิ่งและวิดีโออาจารของเด็กนักเรียนหลายราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักกีฬาฟุตซอลของทีม ในลักษณะกำลังช่วยสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงตรวจยึดทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน

จากการสอบปากคำ นายธีรวัฒน์ ให้การภาคเสธ อ้างว่า “ไม่เคยล่วงละเมิดทางเพศนักเรียนหรือนักกีฬาในทีมแต่อย่างใด” แต่ยอมรับว่าเคยให้ผู้เสียหายสำเร็จความใคร่ต่อหน้าตัวเอง และบันทึกวิดีโอไว้จริง

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.ปคม. ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป