คดีข่มขืนหญิงสูงอายุในพื้นที่อำเภอบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ยังคงเป็นคดีที่ประชาชนจับตามองและรอฟังข่าวว่าตำรวจจะจับคนร้ายมาลงโทษได้หรือไม่ ?
ซึ่งขณะนี้ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมามีผู้สูงอายุเข้าแจ้งความแล้วกว่า10คดี!
อีจันจะพาคลี่คดีนี้กับ พล.ต.ท.ธนายุตน์ วุฒิจรัสธำรงค์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ งานนี้เรียกได้ว่าปฏิรูปวงการตำรวจ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นกลับมาให้องค์กร
พล.ต.ท.ธนายุตน์ เผยว่า คดีนี้มีแผนประทุษกรรมที่คล้ายกัน โดยคนร้ายเลือกก่อเหตุในช่วงเวลาและลักษณะของผู้เสียหายที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งสะท้อนถึงพฤติกรรมทางจิตวิทยาของคนร้ายที่อาจมีความชอบหรือปมด้อยเกี่ยวกับผู้หญิงสูงอายุ รวมถึงอาจมีความบกพร่องทางจิตบางอย่าง
ตำรวจได้ประชุมและวางแนวทางสืบสวนอย่างต่อเนื่อง โดยมีการจำกัดขอบเขตของผู้ต้องสงสัย วิเคราะห์รูปแบบอาชญากรรมย้อนหลัง และตรวจสอบว่ามีคดีลักษณะเดียวกันในพื้นที่ใกล้เคียงหรือไม่ โดยพื้นที่ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดนครราชสีมา ได้แก่ อำเภอบัวใหญ่ บ้านเหลื่อม แก้งสนามนาง และปากช่อง
“6 ข่มขืน 5 ชิงทรัพย์” คดีโยงถึงกัน!
คดีข่มขืนหญิงสูงอายุจังหวัดนครราชสีมาเหตุเกิดขึ้นใน 5 อำเภอของ นครราชสีมา รวมแล้ว 11 คดี
- พื้นที่อำเภอบัวใหญ่ 6 คดี เหตุเกิด
- วันที่ 15 มิถุนายน 2566 เวลากลางวันคดีนี้ตำรวจจับคนร้ายได้แล้ว
- วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 เวลา 11:30 น.
- วันที่ 30 มิถุนายน 2567 เวลา 10:00 น. คดีนี้จริงสำหรับผู้เสียหายอย่างเดียว
- วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 เวลากลางวันชิงทรัพย์ผู้เสียหายอย่างเดียว
- 8 สิงหาคม 2 567 เวลา 14:00 น.
- 14 ธันวาคม 2567 เวล 11:00 น.
- พื้นที่อำเภอบ้านเหลื่อม 1 คดี
- วันที่ 29 มกราคม เวลา 11:50 น. คดีนี้ชิงทรัพย์ผู้เสียหายอย่างเดียว
- พื้นที่อำเภอแก่งสนามนาง 1 คดี เหตุเกิด
- วันที่ 25 เมษายน 2567 เวลา 09:40 น.
- พื้นที่อำเภอโนน 2 คดี เหตุเกิด
- วันที่ 12 กันยา 2567 เวลา 12:30 น.
- วันที่ 2 ธันวาคมเวลา 13:00 น. ทั้งสองคดีนี้มีการชิงทรัพย์ผู้เสียหายอย่างเดียว
- พื้นที่สุดท้ายในอำเภอปากช่อง เหตุเกิด
- ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2567 ช่วงเวลากลางวันคดีนี้ตำรวจสามารถจับคนร้ายได้แล้วเช่นกัน
ซึ่งทั้งหมด 11 คดีนี้มีผู้เสียหายเป็นหญิงสูงวัย และผู้เสียหายให้การตรงกันว่า คนร้ายมักเข้าจากด้านหลัง แม่มองไม่ค่อยชัดแต่จำได้หลังหลังว่า “ชายปริศนาพูดภาษาไทย สวมใส่ไอ้โม่ง” แผนประทุษกรรมของคนร้ายคือก่อเหตุในที่โล่ง เช่น “กลางทุ่งนา ไร่นา ช่วงเวลาประมาณ 11:00-14:00 น.” โดยมักวนหาเหยื่อล่วงหน้า และบางครั้งนำโทรศัพท์ของเหยื่อไปทิ้งเพื่อป้องกันการแจ้งตำรวจ
ผู้ช่วย ผบ.ตร. ยังบอกอีกว่า ตนเองได้สั่งกรให้เร่งสืบสวนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน และต้องจับตัวคนร้ายที่แท้จริงเท่านั้น
ตำรวจตั้งสมมติฐานว่าคนร้ายอาจมีความชอบพิเศษ เบี่ยงเบนทางพฤติกรรม หรือมองว่าผู้สูงอายุไม่มีทางสู้ นอกจากนี้ยังมุ่งเป้าสืบสวนไปที่แรงงาน เช่น พนักงานตัดอ้อย โรงงานมันสำปะหลัง คนงานก่อสร้าง คนจรจัด และผู้พ้นโทษ โดยขยายขอบเขตการสืบสวนให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเสี่ยง
คดีนี้เกิดมาตั้งแต่ กลางปี 2566 ตำรวจในพื้นที่ยังจับคนร้ายตัวจริงไม่ได้ทั้งหมด ทำให้ประชาชนหมดศรัทธา ขาดที่พึ่ง ต้องหันไปพึ่งมูลนิธิปวีณา!
ผู้ช่วย ผบ.ตร. ระบุว่าคดีนี้เกิดขึ้นมานาน แต่การทำงานของตำรวจในบางพื้นที่มีข้อบกพร่อง เช่น พนักงานสอบสวนหลายโรงพักไม่ลงพื้นที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ และไม่รายงานผู้บังคับบัญชา ทำให้คดีเกิดซ้ำโดยไม่มีการดำเนินการอย่างจริงจัง ส่งผลให้มีคำสั่งย้ายผู้กำกับบัวใหญ่ออกจากตำแหน่ง
ในอำเภอบัวใหญ่มี 5 คดีที่เกี่ยวข้อง แต่ที่จับได้ 1 คดีกลับไม่ตรงกับอีก 4 คดี ทำให้ตำรวจต้องสืบสวนต่อไปเพื่อหาตัวคนร้ายที่เหลือ พร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่ทุกคนทำงานอย่างเต็มที่ เพราะหากไม่ทำให้ดีตั้งแต่แรก จะต้องทำงานหนักขึ้นในระยะยาว ประชาชนต้องสามารถพึ่งพาตำรวจได้ ไม่ใช่ต้องไปขอความช่วยเหลือจากหลายๆ องค์กร
อีกปัญหาคือพนักงานสอบสวนใน 11 คดีที่ผ่านมาไม่ได้ประสานหน่วยพิสูจน์หลักฐานไปเก็บวัตถุพยานเลย ทำให้การสืบสวนล่าช้า ทั้งที่หน่วยงานมีอุปกรณ์พร้อม แต่เกิดจากความละเลยและขาดความรับผิดชอบ ตำรวจจึงต้องกลับมาเป็นที่พึ่งแรกและที่พึ่งสุดท้ายของประชาชน โดยขอให้ชาวนครราชสีมามั่นใจว่าทีมสืบสวนจะทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อนำตัวผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ขณะนี้พลตำรวจโทธนายุทธ วุฒิจรัสธำรงผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 3 ตำรวจสืบจังหวัดและตำรวจในพื้นที่เกิดเหตุ นับหนึ่งใหม่อีกครั้งโดยมีการสืบสวนใหม่ สโคปเป้าหมายให้แคบลง !
ผู้ช่วย ผบ.ตร. สั่งการให้ผู้บังคับบัญชาภาค 3 และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องยกระดับการสืบสวน โดยให้แบ่งพื้นที่ชัดเจนและวิเคราะห์ว่าเหตุใดคนร้ายจึงมุ่งเป้าไปที่อำเภอบัวใหญ่ บ้านเรือน แก้งสนามนาง และโนนแดง แต่ไม่ก่อเหตุในพื้นที่อื่น ซึ่งบ่งชี้ว่าคนร้ายอาจมีความชำนาญในพื้นที่ หรืออาจเป็นคนในละแวกนั้น
พฤติกรรมของคนร้ายแสดงให้เห็นว่าเขาเฝ้าดูเหยื่อ รู้เส้นทางและช่วงเวลาที่เป้าหมายออกไปทำไร่ทำนา หากเป็นคนที่เดินทางผ่านมาคงต้องเสี่ยงดวง แต่จากหลักฐานดีเอ็นเอ 4 คดีที่ตรงกัน แสดงว่าคนร้ายเป็นคนเดียวกัน และเป็นเป้าหมายสำคัญที่ตำรวจต้องการตัวมากที่สุด
เจ้าหน้าที่ได้รับคำสั่งให้เดินหน้าล่าตัวคนร้ายอย่างเต็มที่ ไม่หยุด ไม่ถอย จนกว่าจะปิดคดี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชน โดยย้ำว่า “คนดีต้องอยู่อย่างเป็นสุข แต่คนร้ายต้องอยู่อย่างหวาดผวา”
หลังจากที่ได้มีการประชุมติดตามความคืบหน้า ของคดีแล้วคล้ายว่าได้รับข่าวดีค่ะ เพราะตำรวจมีผู้ต้องสงสัยในใจแล้ว หากหลักฐานชัดว่าตัวได้ก็จะออกหมายจับทันที!
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกล่าวว่า การปล่อยให้คดีผ่านไปนานส่งผลกระทบต่อวัตถุพยานและพยานแวดล้อม หากไม่ได้เก็บตั้งแต่แรก การสืบสวนต้องใช้เวลาในการร้อยเรียงหลักฐาน แต่เชื่อว่าคนร้ายต้องทิ้งร่องรอยไว้เสมอ
ขณะนี้ทีมตำรวจภาค 3 มีผู้ต้องสงสัยในใจแล้ว แต่ขอเวลาให้ทีมสืบสวนทำงานอย่างรอบคอบและตรงไปตรงมา โดยมีการตรวจยึดรถต้องสงสัยในพื้นที่โคราชและภาค 3 มาตรวจสอบ ตำรวจมั่นใจว่าคดีนี้จะสามารถปิดได้
ทั้งนี้ ได้กล่าวขออภัยผู้เสียหายที่ตำรวจไม่สามารถป้องกันเหตุได้ทัน แต่ยืนยันว่าจะทำเต็มที่เพื่อจับตัวคนร้าย และตั้งเป้าว่าจะปิดคดีนี้ให้ได้ก่อนเกษียณ
หวังว่าการทำงานของตำรวจครั้งนี้ จะเรียกความเชื่อมั่นกลับมาได้ กลับมาเป็นที่พึ่งแรกและที่พึ่งสุดท้ายของประชาชนอีกครั้ง เพราะเชื่อว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ชาวบ้านในพื้นที่ก็ยังคงกลัวที่จะมาใช้ชีวิตขอให้ตำรวจปิดเกมนี้ได้โดยเร็วค่ะ!