เตือนภัยมิจฉาชีพ! สาววัย 21 ปี ถูกหลอกโอนกว่า 3 แสน อ้างพัวพันคดีดัง

เตือนภัยมิจฉาชีพ! สาววัย 21 ปี ถูกหลอกโอนกว่า 3 แสนบาท อ้างพัวพันคดีดัง ซ้ำส่งคลิปทำร้ายตัวเองให้พ่อแม่หวังขอเงิน

ระวังกันด้วยนะคะ ทุกวันนี้มิจฉาชีพมีมาทุกรูปแบบจริงๆ  

วันนี้ (10 ม.ค.68) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ รายงานว่า ที่ สภ.เมืองนนทบุรี นางเอ อายุ 49 ปี พร้อมสามี ได้พา น.ส.บี ลูกสาว อายุ 21 ปี เข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ว่าเมื่อวันที่ 7 ม.ค.68 ที่ผ่านมา น.ส.บี ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกว่า ไปพัวพันคดีของนายสามารถ ในข้อหาร่วมกันในคดีฟอกเงิน ทำให้ น.ส.บี แอบเอาเงินในบัญชีของครอบครัวโอนให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์สูญเงิน 3 แสนกว่าบาท 

จากการสอบถาม น.ส.บี ทราบว่า ช่วงเย็นวันที่ 7 ม.ค.68 ได้มีโทรศัพท์เบอร์แปลกโทรเข้ามา อ้างว่ามาจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ รอบแรกตนวางสายเพราะคิดว่าเป็นมิจฉาชีพ แต่ได้มีโทรศัพท์อีกเบอร์โทรเข้ามาอีกครั้ง และพูดด้วยเสียงแข็งว่าเมื่อกี้สายหลุดหรือตัดสายทิ้ง ด้วยความกลัวตนจึงบอกไปว่าสายตัดไปเอง ปลายสายจึงแจ้งว่าตนเข้าไปเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน ก่อนจะบอกตนว่าจะโอนสายไปให้คนที่มียศใหญ่เพื่อจะช่วยเหลือตน ให้ไม่ต้องเข้าไปมีรายชื่อเป็นผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว พร้อมกับบอกว่าตนเคยไปเปิดบัญชีธนาคา ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตนก็ตกใจเพราะไม่เคยไปเปิดบัญชีที่ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งระหว่างที่พูดคุยกันตนไม่รู้ว่าตอนนั้นเขาเป็นตำรวจจริงหรือไม่จริง ตนต้องการแสดงความบริสุทธิ์ว่าไม่ได้เป็นคนทำ เขาถึงต้องการมาสอบสวนตนว่าเป็นมาอย่างไร 

จากนั้นได้มีการโทรผ่านไลน์เข้ามา และชี้แจงรายละเอียดคดีแจ้งชื่อนามสกุลและเลขคดี แล้วแจ้งว่าเป็นตำรวจยศร้อยโท ก่อนวางสายไป 

ต่อมา ได้มีการโทรกลับมาเป็นวิดีโอคอล เป็นผู้ชายแต่งเครื่องแบบตำรวจด้านหลังมีหมวกตำรวจและป้ายกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากเขานั้นได้มีการส่งรูปและเอกสารของนายสามารถ มาให้เป็นรูปพาดหัวข่าว ตนจึงบอกว่าตนไม่รู้จัก ตำรวจได้บอกว่านายสามารถ ให้การซัดทอดว่าตนไปขายบัญชีธนาคารกรุงไทยให้เขา ตนบอกไม่มีเลขบัญชีตามที่บอก  

จากนั้น เขาได้ให้ตนเอาโทรศัพท์หันไปรอบห้องว่ามีใครอยู่หรือไม่ และยังพูดเล่นด้วยว่าสะสมของด้วย ตนคิดว่าเขาคงพูดทำให้ตนสบายใจไม่อยากให้ตนเครียดหรือวิตกกังวล ขณะที่วิดีโอคอล ตนก็พยายามจะจับพิรุธว่าตำรวจเป็น AI หรือเปล่า แต่เห็นว่าลักษณะท่าทางและการขยับร่างกายตรงกันกับเสียงที่พูดคุยตรงกัน น.ส.บี กล่าว 

หลังจากคุยแล้ว ชายที่อ้างตัวเป็นตำรวจได้ถามว่ามีเงินและทรัพย์สินอะไรบ้าง ให้แจ้งมาทั้งหมด ตนบอกว่ามีเงินในบัญชีอยู่ประมาณ 1,500 บาท และมีเงินสดอีก 7,000 บาท ก่อนเขาจะเริ่มให้โอนเงินไปให้เพื่อทำการตรวจสอบ ตนบอกว่ามีเงินอยู่แค่นี้ เขาบอกให้ไปเอาเงินของพ่อแม่โอนมาตรวจสอบด้วย โดยพูดข่มขู่ต่างๆ นานา หากไม่หาเงินโอนมา พ่อกับแม่จะถูกดำเนินคดี ด้วยความกลัวตนเลยไปขอยืมโทรศัพท์ของพ่อมา แล้วโอนเงินจากแอปธนาคารขอพ่อจำนวน 21,000 บาท มาที่บัญชีของตน จากนั้นบัญชีของพ่อถูกบล็อกโอนเงินไม่ได้ ตนจึงโอนเงินให้ตรวจสอบได้แค่นั้น ต่อมาตนได้ไปยืมโทรศัพท์ของแม่โอนเงินจากแอปธนาคารของแม่มายังบัญชีของตน จำนวน 3 ครั้ง ครั้งละ 49,999 บาท และสแกนหน้าแม่อีก 1 ครั้ง จำนวน 100,000 บาท รวมเป็นเงิน 249,997 บาท ก่อนจะโอนไปให้ตามที่ตำรวจบอก ทั้งหมด 

นางเอ ผู้เป็นแม่ เล่าเสริมว่า วันดังกล่าว ตนเลิกงานกลับถึงบ้านลูกสาวมาขอยืมโทรศัพท์ตนไปบอกว่าจะไปถ่ายงาน ต้องใช้โทรศัพท์ 2 เครื่อง ตนได้ให้โทรศัพท์ลูกไป จากนั้นลูกเอาเข้าไปในห้องหายไปนาน ตนก็ไม่ได้สงสัยคิดว่าเขาเอาไปถ่ายงานตามปกติ ตนจึงเอาไอแพด มาเล่น จากนั้นได้มีข้อความเด้งขึ้นมา เป็นการเคลื่อนไหวกับบัญชีธนาคาร มีเงินเข้ามา 30,000 บาท ก็แปลกใจว่าเป็นเงินอะไรเข้ามาได้อย่างไร สักพักลูกก็ถือโทรศัพท์มาหาตนบอกว่าแม่สแกนหน้าหน่อย ตนสงสัยสแกนอะไร ตนก็ไม่ให้สแกน แต่แล้วลูกก็สแกนหน้าไปได้ 

จากนั้นพ่อก็เดินมาบอกว่า เขาโดนลูกยืมโทรศัพท์ไปเหมือนกัน แล้วแอปฯธนาคารของพ่อโดนบล็อก ซึ่งตอนนั้นพ่อเขาไม่ทราบว่าเงินได้ถูกเอาออกจากบัญชีไปแล้วหลักหมื่น จากนั้นตนเห็นว่าเงิน 100,000 บาทถูกโอนออกไป ตนจึงเดินไปเคาะห้องถามลูกว่า เงินออกไปได้ยังไง โดนคอลเซ็นเตอร์หลอกหรือเปล่า แต่ลูกปิดห้องล็อกไม่ตอบอะไร ตนจึงไปยืนแอบฟังเหมือนลูกโทรศัพท์คุยกับใครอยู่ และเหมือนว่าคนที่คุยด้วยกำกับให้ลูกทำนั่นทำนี่ ต่อมาพ่อก็ไปเคาะถามว่าเอาเงินไปได้ยังไง ใครมาหลอก ลูกก็ตอบว่าเดี๋ยวจะบอกทุกอย่าง เดี๋ยวหลังเที่ยงคืนแล้วเงินจะกลับคืนมา จะบอกทุกอย่างให้พ่อกับแม่รู้ 

ต่อมา วันที่ 8 ม.ค.68 ตนไปทำงานและบอกกับยายไว้ว่าอย่าให้หลานออกจากบ้านเด็ดขาด จนกระทั่งลูกได้โทรมาบอกให้ตนเอาทองของยายไปขายแล้วเอาเงินใส่บัญชีไปให้หน่อย ตนถึงได้รู้ว่าลูกออกจากบ้านไปแล้ว ตนก็พยายามถามว่าอยู่ที่ไหนจะได้เอาทองไปให้กับตัว แต่ลูกก็ไม่บอก จากนั้นลูกได้ส่งคลิปมาให้ตนดูว่าถือมีดคัตเตอร์จี้ที่คอ เพื่อขอให้ตนโอนเงินให้ ตนก็ใจไม่ดีห่วงลูกเพราะเขามีภาวะซึมเศร้าอยู่แล้ว 

ตนจึงได้ปรึกษากับทางตำรวจร้อยเวร ซึ่งทางตำรวจให้ตนใจแข็งไม่ต้องโอนเงินเพิ่มอีก ซึ่งตนเคยเห็นข่าวที่ผ่านมาว่าถ้าลูกไม่มีเงินก็จะกลับมา ส่วนเงินที่เข้ามา 30,000 บาทตนมาทราบภายหลังว่าลูกเบิกเงินจากบัตรเครดิตมาใส่บัญชีธนาคารตน เพื่อโอนให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ สุดท้ายลูกไม่มีเงินจึงยอมบอกว่ามาเปิดห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนราชพฤกษ์ ตนกับสามีจึงได้ขับรถไปรับและพาเข้าแจ้งความกับตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี 

ระวังกันด้วยนะคะ มิจฉาชีพมีมาทุกรูปแบบจริงๆ ถ้าเจอกรณีคล้ายๆ แบบนี้ให้คิดไว้ก่อนว่าเป็นมิจฉาชีพ และควรเข้าไปติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยตรง