
รวบหมด ไม่รอดทั้งแก๊ง!
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร ผบ.ตร. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม นำโดย พ.ต.ท.รัฐมนตรี พันชูกลาง รอง ผกก.(สอบสวน) กก.3 บก.ป., พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2,3,4,สสน. บก.ป., บก.ปอท.และบก.ปอศ. ร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหาจำนวน 6 ราย ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหา 4 ราย อยู่ระหว่างจำคุกในคดีอื่น ดังนี้
1. MR.LI (นายลี) สัญชาติจีน อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 13/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568
2. Ms.Aye (นางเอ้) สัญชาติเมียนมา อายุ 30 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 14/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568
ผู้ต้องหาที่ 1-2 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริต หรือ หลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น, ร่วมกันปลอมเอกสารราชการและใช้เอกสารราชการปลอม, ร่วมกันสนับสนุนพนักงานเจ้าหน้าที่ปลอมบัตรประชาชน, ร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, ร่วมกันสนับสนุนเจ้าพนักงาน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่”
3. นายจิรภัทร อายุ 32 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 15/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568
4. นายสุริยะ อายุ 57 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 16/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568
5. นายพีระศักดิ์ อายุ 51 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 17/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568
6. นายประวิต อายุ 50 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางที่ 18/2568 ลงวันที่ 3 มีนาคม 2568
ผู้ต้องหาที่ 3-6 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “เป็นเจ้าพนักงานร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการใดในตำแหน่งไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่”
พร้อมตรวจยึดของกลาง จำนวน 190 รายการ ได้แก่ สมุดบัญชีธนาคาร จำนวน 14 เล่ม, เงินสด จำนวน 8,500 หยวน, บัตร ATM จำนวน 5 ใบ, โทรศัพท์มือถือ จำนวน 14 เครื่อง, แท็บเล็ต จำนวน 1 เครื่อง, คอมพิวเตอร์ จำนวน 9 เครื่อง, บัตรขาว จำนวน 2 ใบ, หนังสือเดินทาง/บัตรประชาชน/เอกสารที่เกี่ยวข้อง 14 รายการ, รถยนต์ จำนวน 2 คัน, วัตถุคล้ายทองคำ 5 รายการ และ เอกสารอื่นๆ จำนวน 125 รายการ
สืบเนื่องจากเมื่อช่วงปลายปี 2566 ได้มีผู้เสียหายเป็นชายชาวจีน เข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง โดย กก.3 บก.ป. เพื่อร้องขอความเป็นธรรม ในกรณีที่ผู้เสียหายถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดทรัพย์ เป็นจำนวน 5 ล้าน เพื่อแลกกับการไม่ถูกดำเนินคดี ซึ่งมูลเหตุในคดีนี้ ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน 2565 ผู้เสียหายได้เข้าไปยัง กลุ่มเฟซบุ๊กของคนจีน โดยพบประกาศว่าสามารถจัดทำบัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน และเอกสารอื่นๆ ของไทยให้กับคนจีนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยคิดค่าทำประมาณ 1 ล้านบาท ต่อมาผู้เสียหายหลงเชื่อ จึงได้ติดต่อเข้าไปพูดคุยและตกลงทำบัตรประชาชน มีการนัดหมายให้เดินทางไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเทศบาลจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน ต่อมาเมื่อถึงวันนัดหมาย ผู้เสียหายได้เดินทางไปที่สำนักงานเทศบาลดังกล่าว และได้พบนายลี พร้อมกับนางเอ้ (แฟนสาว) โดยนายลี ได้พาผู้เสียหายไปทำบัตรประชาชนที่สำนักงานเทศบาล โดยมีขั้นตอนการถ่ายรูป และสแกนลายนิ้วมือเหมือนกับการทำบัตรประชาชนทั่วไป แต่จะไม่มีการให้กรอกข้อมูลเอกสารใดๆ ซึ่งภายหลังจากที่ผู้เสียหายทำตามขั้นตอนต่างๆ เรียบร้อยแล้ว นายลีจึงได้นำบัตรประชาชนที่ปรากฎรูปหน้าผู้เสียหายมามอบให้พร้อมกับสำเนาทะเบียนบ้านอีก 1 ฉบับ (ซึ่งข้อมูลตามบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้านดังกล่าวปรากฎชื่อคนไทยคนเดียวกัน) หลังจากนั้นผู้เสียหายจึงชำระค่าดำเนินการ โดยมอบเงินสด จำนวน 1.1 ล้านบาท ให้กับนายลี
ต่อมาผู้เสียหายได้ตกลงให้นายลี ช่วยทำหนังสือเดินทางให้กับผู้เสียหาย โดยได้นัดหมายให้มาทำหนังสือเดินทางที่กรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ ซึ่งเมื่อเดินทางมาถึงที่นัดหมายได้มีกลุ่มชายไม่ทราบชื่อพาผู้เสียหายไปนั่งรอที่ร้านกาแฟภายในกรมการกงสุล จากนั้นได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย เข้ามาควบคุมตัวผู้เสียหาย และนำตัวหายไปที่ทำการแห่งหนึ่ง โดยกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจกลุ่มนี้ได้แจ้งกับผู้เสียหายว่าจะต้องถูกดำเนินคดีเนื่องจากปลอมเอกสาร ซึ่งหากผู้เสียหายไม่อยากถูกดำเนินคดี ให้ผู้เสียหายนำเงินมาจ่าย 5 ล้านบาท ต่อมาผู้เสียหายจึงได้ต่อรองราคาจนกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจตกลงให้จ่ายเงินจำนวน 2 ล้านบาท จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ให้ผู้เสียหายโอนเงินเป็นสกุลเงินดิจิทัล USDT จำนวน 55,555 USDT (เปรียบเทียบเป็นเงินไทยจำนวน 2 ล้านบาท) เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลตามหมายเลขที่เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งไว้ ก่อนจะปล่อยตัวผู้เสียหายไป หลังจากนั้นผู้เสียหายจึงได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้ดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้ายดังกล่าว
ซึ่งรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เล็งเห็นความสำคัญของการปราบปราบอาชญากรรมข้ามชาติ กรณีคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย และคนต่างด้าวถูกหลอกลวงหรือ ประกอบธุรกิจผิดกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนของการกระทำความผิดที่เป็นเครือข่าย และขบวนการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคนต่างด้าวสัญชาติจีน ตำรวจสอบสวนกลางจึงได้มีการจัดตั้งคณะทำงานที่เป็นชุดสืบสวนสอบสวนเฉพาะกิจ เพื่อแก้ปัญหาอาชญากรรมในรูปแบบดังกล่าวและนำตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีให้ถึงที่สุด
จากการสืบสวนของคณะทำงาน และเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. พบว่าในส่วนของการหลอกลวงผู้เสียหายให้ไปทำบัตรประชาชนนั้น มีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุหลายกลุ่ม ดังนี้
1.กลุ่มผู้ชักชวนและดำเนินการพาผู้เสียหายไปทำบัตรประชาชน โดยกลุ่มนี้มีนายลี และนางเอ้ เป็นผู้ร่วมขบวนการ
2.กลุ่มจัดหาบัตรประชาชนที่จะนำมาสวมสิทธิให้กับผู้เสียหาย โดยจากการตรวจสอบพบว่า เจ้าของบัตรประชาชนเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริง และพบว่ามีการไปขอทำบัตรประชาชนใหม่หลังจากขายบัตรเพียงไม่กี่วัน จึงเชื่อว่าน่าจะมีส่วนรู้เห็นกับการกระทำในครั้งนี้
3.เจ้าหน้าที่รัฐที่มีหน้าที่ทำบัตรประชาชน โดยเชื่อว่าน่ามีส่วนเกี่ยวข้องหรือสนับสนุนให้ความช่วยเหลือในการกระทำผิดของขบวนการดังกล่าว
ในส่วนของกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดเอาทรัพย์ผู้เสียหาย พบว่ามีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันก่อเหตุหลายคน ดังนี้
1.คนชี้เป้า มีหน้าที่ระบุตำแหน่งและแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามตัวผู้เสียหาย
2.กลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหาย
3.เส้นทางการเงินจากการประทุษร้าย พบมีการส่งต่อกันหลายทอด และถอนเงินออกที่บริษัทนอมินี จากการสืบสวนเชื่อว่าคนในขบวนการเป็นผู้ชี้เป้าให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบและเข้าทำการรีดทรัพย์ผู้เสียหายอีกทอดนึง
ขณะเดียวกันสืบสวนขยายผลอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. ยังพบข้อมูลประวัตินายลี พบว่ามีหมายแดงติดตัวในความผิดเกี่ยวกับการยักยอกทรัพย์ชาวจีน มูลค่าความเสียหาย 3,000 ล้านหยวน (คิดเป็นเงินไทยมูลค่ากว่า 14,000 ล้านบาท) โดยได้ก่อเหตุที่ประเทศจีนในช่วงปี 2558-2562 ก่อนจะหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยเมื่อปี 2564 ซึ่งในระหว่างที่นายลี อาศัยอยู่ในประเทศไทย ได้มีการสวมบัตรหัวศูนย์, บัตรขาว หรือบัตรบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน ระบุชื่อเป็นนายจิน ไทยลื้อ เพื่อให้ตนเองมีสิทธิต่างๆ เทียบเท่ากับคนไทย จากนั้นจึงได้นำรูปแบบวิธีการที่ตนเองเคยสวมบัตรขาว มาใช้ในการเปิดเพจพาคนจีนไปทำเอกสาร และบัตรประจำตัวต่างๆ ในคดีนี้ นอกจากนี้ยังพบว่า นายลี ได้มีการประกอบธุรกิจให้บริการต่อวีซ่า ที่ บริษัท อันเจีย อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลบริษัทฯ ดังกล่าว พบว่ามีการจดทะเบียนสถานที่จัดตั้งซ้ำกับบริษัทอื่นอีก 14 บริษัท โดยบริษัทเหล่านี้มีกลุ่มคนไทยเป็นนอมินี ถือหุ้นบริษัทโดยไม่ได้มีการลงทุนหุ้นจริง ในส่วนของกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหายนั้น มีการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติมจนทราบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจในกลุ่มดังกล่าวจำนวน 4 นาย ถูกจับกุมดำเนินคดีกรณีเรียกรับเงินสินบนจากชาวจีนจำนวน 10 ล้านบาท เมื่อปี 2566 ซึ่งรูปแบบพฤติการณ์ในการก่อเหตุคล้ายกับคดีของผู้เสียหายรายนี้ด้วยเช่นกันขณะเดียวกันกลุ่มจัดหาบัตรประชาชน พบว่ามีนายหน้าทำหน้าที่จัดหาบัตรประชาชนของคนไทยมาเพื่อใช้ในการสวมบัตร ซึ่งผู้ที่ขายบัตรประชาชนจะได้รับค่าจ้างเป็นเงินจำนวน 5,000 บาท






ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.ป. ได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการหลอกลวงผู้เสียหายทำบัตรประชาชน และกลุ่มเจ้าหน้าที่ตำรวจที่รีดเอาทรัพย์ผู้เสียหาย โดยศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 6 หมายจับ ซึ่งวานนี้ (5 มี.ค. 68) ตำรวจสอบสวนกลางได้เปิดปฏิบัติการ “CIB Game on” รื้อระบบสยบจีนดำ ล่าผู้ต้องหาหมายแดง พร้อมขบวนการทำบัตรประชาชนเถื่อน โดยนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 70 นาย ลงพื้นที่ตรวจค้น 11 จุด ในพื้นที่ 7 จังหวัดทั่วประเทศ ได้แก่ นครราชสีมา, ร้อยเอ็ด, กาฬสินธุ์, เชียงใหม่, นนทบุรี, ชลบุรี และกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นการตรวจค้นจับกุมเป้าหมาย 26 เป้าหมาย (บุคคล 24 ราย และบริษัท 2 บริษัท) โดยเป้าหมายตัวบุคคลทั้ง 24 เป้าหมาย แบ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับ 6 ราย และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องที่จะต้องเชิญตัวมาเพื่อซักถามปากคำจำนวน 18 ราย ซึ่งผลการปฏิบัติสามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ 2 ราย คือ นายลี และนางเอ้ พร้อมตรวจยึดของกลางตามรายการดังกล่าวนำส่งพนักงานสอบสวน กก.3 บก.ป. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ในส่วนของผู้ต้องหาตามหมายจับอีก 4 ราย ปัจจุบันถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ พนักงานสอบสวนจะดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาผู้ต้องหาตามกฎหมายต่อไป
หากมีความคืบหน้าเพิ่มเติม ทางเราจะรายงานให้ทราบอีกครั้งค่ะ



