ไซเบอร์บุกทลายเหมืองบิทคอยน์เถื่อนแม่สอด ลักใช้ไฟหลวง เสียหายกว่า 4 ล้านบาท

ตำรวจไซเบอร์ บุกทลายเหมืองบิทคอยน์กลางอ.แม่สอด แอบลักลอบใช้ไฟฟ้าหลวง สร้างความเสียหายกว่า 4 ล้านบาท – พร้อมตรวจยึดอาวุธปืนและกระสุนอีกเพียบ

(13 ก.พ.68) พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. , พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท. พร้อมคณะ ร่วมแถลงข่าว ปฏิบัติการ “ฟ้าสางที่แม่สอด” ทลายเหมืองบิทคอยน์เถื่อน ลอบใช้ไฟฟ้า เสียหายกว่า 4 ล้านบาท พร้อมจับอาวุธปืนผิดกฎหมายและกระสุนปืนจำนวนมาก  

สืบเนื่องจาก บช.สอท. โดย กก.2 บก.สอท.4 ได้สืบสวนพบข้อมูลว่า มีกลุ่มบุคคลใช้อาคารพาณิชย์เพื่อลักลอบเปิดกิจการขุดเหรียญบิทคอยน์ ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก จึงได้ประสานกับ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ทำให้ทราบว่า จากการตรวจสอบย้อนหลังไปถึง พ.ศ.2561 พบว่ามีปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้าจำนวนมาก รวมเป็นเงินค่าไฟฟ้าทั้งหมดประมาณ 3,189,072 บาท แต่หลังจากนั้นไม่พบว่ามีการใช้กระแสไฟฟ้าอีกเลย และสถานที่ดังกล่าวมีการแจ้งหยุดใช้กระแสไฟฟ้าไปแล้ว

แต่จากการสืบสวนพบว่าในเวลากลางคืน อาคารพาณิชย์ดังกล่าวยังได้ยินเสียงการทำงานต่อเนื่องของอุปกรณ์ที่คาดว่าเป็นเครื่องขุดบิทคอยท์อยู่ตลอดเวลา และพบว่าบริเวณชั้นที่ 2 ยังมีแสงไฟส่องสว่างอยู่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดปกติ เนื่องจากอาคารดังกล่าวมีการแจ้งหยุดการใช้กระแสไฟฟ้าไปแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเชื่อว่า อาจมีการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าของทางราชการในการประกอบกิจการเหมืองขุดบิทคอยน์ 

อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจยังสืบสวนทราบข้อมูลการกระทำผิดเกี่ยวกับอาวุธปืนผิดกฎหมายในพื้นที่ อ.แม่สอด ด้วย จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายค้นจากศาลจังหวัดแม่สอด เข้าทำการตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายใน อ.แม่สอด จ.ตาก จำนวน 6 จุด

กระทั่ง (13 ก.พ.68) พล.ต.ต.กฤตัชญ์ บำรุงรัตนยศ ผบก.สอท.4 ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจในสังกัดเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายทั้ง 6 จุด ดังนี้ 

จุดที่ 1 อาคารพาณิชย์ ในพื้นที่ชุมชนดอนไชย ถ.อินทรคีรี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก

ผลการตรวจค้นพบ 

1. เครื่องขุดบิทคอยน์ จำนวน 12 เครื่อง 

2. ตรวจสอบพบการลักลอบใช้กระแสไฟฟ้าโดยดัดแปลงมิเตอร์ให้จ่ายค่าไฟฟ้าน้อยลง สร้างความเสียหายให้แก่การไฟฟ้ามูลค่ากว่า 4 ล้านบาท 

จุดที่ 2 จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 1 ราย

ผลการตรวจค้นพบ 

1. อาวุธปืนสั้น ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก 

2. อาวุธปืนลูกซองยาว จำนวน 1 กระบอก 

3. อาวุธปืนยาวไทยประดิษฐ์ จำนวน 1 กระบอก  

4. เครื่องกระสุนปืนขนาด 9 มม. จำนวน 10 นัด 

5. เครื่องกระสุนปืนลูกซอง เบอร์ 12 จำนวน 24 นัด 

จุดที่ 3 จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 2 ราย

ผลการตรวจค้นพบ 

1. บุหรี่ไฟฟ้า 4 ตัว 

2. หนังสือสัญญาเงินกู้ 1 ฉบับ 

3. โทรศัพท์มือถือ จำนวน 2 เครื่อง 

จุดที่ 4 จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 1 ราย

ผลการตรวจค้นพบ 

1. อาวุธปืนแบบประดิษฐ์เองไม่ทราบขนาด จำนวน 1 กระบอก 

2. เครื่องกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 12 นัด  

3. เครื่องกระสุนปืน ขนาด 9 มม. จำนวน 15 นัด 

4. เครื่องกระสุนปืนขนาด .32 จำนวน 10 นัด 

5. เครื่องกระสุนปืนลูกซอง จำนวน 1 นัด 

6. เครื่องกระสุนปืนอัดลม จำนวน 1 กล่อง 

จุดที่ 5 จับกุมผู้ต้องหาจำนวน 1 ราย

ผลการตรวจค้นพบ 

1. อาวุธปืนพกสั้น ขนาด 9 มม. จำนวน 1 กระบอก 

2. อาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก พร้อมแม็กกระซีน 2 อัน 

3. กระสุนปืนขนาด 9 มม.จำนวน 388 นัด 

4. ขนาด .38 . จำนวน 16 นัด  

5. กระสุนปืน  .22  จำนวน 6 นัด  

ส่วนจุดที่ 6 ผลการตรวจค้น ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย 

โดยขณะนี้ เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามผู้ก่อเหตุลักลอบใช้ไฟฟ้ามาดำเนินคดี ซึ่งมีความผิดฐาน “ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ รับจำนำหรือรับไว้โดยประการใดซึ่งของอันตนพึงรู้ว่าเป็นของอันเนื่องด้วยความผิดตามมาตรา 242”

นอกจากนี้ ตำรวจไซเบอร์ได้ร่วมกับ กสทช. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ ได้นำหมายค้นเข้าตรวจสอบเสาเครื่องส่งสัญญาณโทรศัพท์กลางสวนยางพารา ใกล้ริมแม่น้ำเมย ในพื้นที่หมู่ 7 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก

จากการตรวจสอบพบเสาส่งสัญญาณและตู้สัญญาณ แต่แผงสัญญาณได้ถูกถอดออกไปแล้ว เมื่อตรวจสอบไปยังการไฟฟ้า ทราบว่า สายไฟที่จ่ายกระแสไฟฟ้ามายังจุดดังกล่าว การไฟฟ้าไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการและไม่มีการขออนุญาต รวมทั้งสัญญาณโทรศัพท์ที่ใช้ ก็ไม่พบว่ามีการขออนุญาตจาก กสทช. แต่อย่างใด 

โดยเสาสัญญาณโทรศัพท์ดังกล่าว ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางต้นไม้รกทึบในสวนยางพาราริมแม่น้ำเมย ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามเมืองอพอลโล่ ตอนปลายของเมืองชะเวโก๊กโก โดยก่อนการเข้าตรวจค้นเมื่อวันที่ 11 ก.พ.68 ยังพบว่ามีการปล่อยสัญญาณเต็มอยู่ และยังพบมีแผงปล่อยสัญญาณหันไปยังฝั่งพม่าอยู่ แต่ปัจจุบันไม่มีแล้ว 

นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงเสาสัญญาณดังกล่าว ไม่มีบ้านเรือนประชาชนพักอาศัยอยู่แต่อย่างใด จึงคาดว่า เสาดังกล่าวถูกติดตั้งเพื่อลักลอบส่งสัญญาณข้ามแดนไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อสนับสนุนการกระผิดของกลุ่มแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศเมียนมา โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้เกี่ยวข้องต่อไป