“ไทด์ เอกพัน” เผยที่มาของการจับมือ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” เคาะประตูแจกเงินชาวบ้านสู้โควิด

“ไทด์ เอกพัน” เผยที่มาของการจับมือ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” เคาะประตูแจกเงินชาวบ้านสู้โควิด บางครั้งเจอปัญหาก็รู้สึกท้อใจเหมือนกัน

ในช่วงเกิดโควิด-19 ระบาดหนักไปทั่วทั้งโลก แม้แต่เมืองไทยก็มีผู้ได้รับผลกระทบไม่น้อย แต่ในวิกฤตกับมีเรื่องราวดีๆ ให้คนทั้งประเทศได้ปลื้มไปตามๆ กัน เมื่อ ไทด์ เอกพัน และ บิณฑ์ บันลือฤทธิ์ จับมือกันลงพื้นที่ช่วยผู้ได้รับผลกระทบจากวิกฤติโควิด-19แบบถึงหน้าบ้าน ทำให้เรื่องราวนี้ถูกแชร์ต่อกันไปทั่วประเทศ ได้มาซึ่งเสียงเรียกขานว่าทั้งคู่ คือ เทวดาเดินดิน ที่มาช่วยเหลือทุกคนในยามทุกข์ให้มีรอยยิ้มขึ้นมาได้ ซึ่ง ไทด์ เอกพัน ได้มาเล่าไทม์ไลน์ถึงที่มาของการเริ่มต้นจิตอาสาผ่านรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ว่าตัวเองได้ทำมานานมากกว่า 30 ปีแล้ว และที่ทำอย่างต่อเนื่องมาตลอดเพราะรู้สึกว่าสิ่งที่เราทำ คือ ทำด้วยหัวใจ เช่นเดียวกันในช่วงโควิดทั้งคู่ได้นำเงินส่วนตัว 10 ล้านบาท มามอบให้ประชาชนเพื่อบรรเทาทุกข์ของทุกคนลงได้บ้าง

ภาพจากอีจัน
ไทด์ : เป็นความคิดดีๆ ของคุณบิณฑ์ บันลือฤทธิ์ ซึ่งเข้านี่ยเห็นสภาพหลังจากโควิดเกิดได้สัก 1 สัปดาห์ ที่บ้านเราจะต้องล็อกดาวน์ 1 สัปดาห์ ไปตามสี่แยกเขาจะเห็นเด็กมาเคาะกระจกขอเงินกินข้าว ไม่ใช่เด็กอย่างเดียว ทั้งคนแก่ ทั้งคนหนุ่ม ขอเลย แบบขอกินข้าวเลยไม่มีตังค์ เพราะว่าทำงานไม่ได้ ออกจากบ้านไม่ได้ ทีนี่บิณฑ์เขาก็เกิดมีความคิดขึ้นมาว่า เงินที่เขาได้มาจากการไปช่วยน้ำท่วมที่ จ.อุบลราชธานีก็ มีสินค้าหลายตัวที่ให้เขาเป็นพรีเซนเตอร์ได้เงินประมาณ 10 กว่าล้าน ก็เลยมีความคิดว่า ไอ้เงิน 10 กว่าล้านเนี่ย มันไม่ใช่ของเขา มันเป็นเหมือนกับว่าลาภลอยที่เราไปทำเป็นฮีโร่ของพี่น้องประชาชนอีสาน เขาก็เลยตัดสินใจว่า เขาจะขอเดินแจกเงินให้กับชุมชนทุกชุมชนในกรุงเทพมหานครด้วยเงิน 10 ล้านบาทนี่
ภาพจากอีจัน
ทำไมไม่รับเงินบริจาค? ไทด์ : ไม่รับ เพราะเงินบริจาคน้ำท่วมมันเกิดวิกฤตที่อุบลราชธานี ที่เขาเปิดรับบริจาค ตอนแรกเขาก็กะว่าได้สักล้านนึงหรือสองล้านที่จะเอาไปช่วยให้กับพี่น้องชาวอุบลราชธานี พรึ่บเดียวซัดไป 422 ล้านบาท ทีนี่เขามาคราวนี้เขาก็คิดว่าวิกฤตนี้ต้องช่วยกันทั่วทุกคนในแผ่นดินต้องช่วยกัน เพราะว่าประเทศไทยนี่เกิดขึ้นทั้งประเทศเลย เขาก็เลยตัดสินใจเอาเงิน 10 ล้านเนี่ย เอามาให้เลย แจกทุกวันๆ ให้ครอบครัวละ 500 คนไหนที่ครอบครัวมี 4 คนให้พันนึง คนไหนอยู่ 2 คนให้ 500 เพิ่มขึ้นตลอด แล้วจนกระทั่งผลิตภัณฑ์ที่เขาเป็นพรีเซ็นเตอร์เขาเห็นว่าเอาแจกจริง เขาก็เลยบริจาคมาให้ล้านนึง สองล้าน ตอนนี้ทั้งหมด 16 ล้าน รวมของเขาด้วย 10 ล้าน เป็น 16 ล้าน วันที่ 14 (เดือนพฤษภาคม) เป็นวันสุดท้ายที่เราต้องแจก 16 ล้านนี้ต้องหมด
ภาพจากอีจัน
อะไรคือสิ่งที่เรารู้สึกว่าชื่นใจที่สุด ไทด์ : สิ่งที่มีความสุขที่สุด คือทำให้คนอื่นมีความสุข นี่คือเรา 2 คนจะพูดกันเสมอว่า วันนี้เป็นยังไงเหนื่อยไหม? ไม่เหนื่อย แต่จริงๆ แล้วมันเหนื่อยมาก ที่ไม่เหนื่อยก็เพราะว่า เห็นสีหน้าชาวบ้านมานั่งรอหน้าประตูยกมือไหว้ คนเฒ่าคนแก่เห็นเรา น้ำตานี่ไหลออกมา เข้ามากอด ได้เห็นความรู้สึกของแต่ละครอบครัว บางครอบครัวมีเด็ก นมกล่องหนึ่งแบ่งกัน 2 คน แล้วก็ให้พ่อเขาออกไปหานมมาให้ลูกกิน ได้เงินเราไปเนี่ยเขาบอกว่า ข้าวสารอาหารแห้งเนี่ย ถามว่ามันจำเป็นไหม? มันก็จำเป็น แต่เขาก็ยังสามารถหาจากคนนู้นคนนี้ได้ แต่เงินเนี่ยหาที่ไหนไม่ได้ เอาเงิน 500 ไปให้เขาเนี่ย เป็นสวรรค์เลย ลูกไม่สบายเนี่ยและต้องไปซื้อยาเนี่ย เงินหาซื้อไม่ได้ ก็ต้องไปยืมเขามา เงิน 500 เนี่ยช่วยเขาได้ประมาณ 1 สัปดาห์ บางครอบครัว 10 กว่าคนให้ไปเลยสามพัน สองพัน ไม่ได้ให้ 500 นะ 500 นี่คุณอยู่บ้านสองคน คนเดียวคุณก็ได้ 500 สมมุติว่ามีครอบครัวเด็ก มีอยู่ 7 คน ผมให้เด็กคนละร้อย คนละร้อย นอกจากเงินที่ได้ไปแล้วนะ เพิ่มให้เด็กไป คือเราเดินกันมาอย่างนี้เดือนกว่าแล้ว
ภาพจากอีจัน
เวลาพูดถึงมูนิธิร่วมกตัญญูหรือจิตอาสาหน้า 2 คนนี้ลอยมาเลย มันเริ่มต้นจากอะไร? ไทด์ : มันเริ่มต้นมาจาก สมันก่อนเนี่ย บ้านผมอยู่ที่ จ.สระแก้ว อ.อรัญประเทศ ตอนเด็กๆ เรียนหนังสืออยู่ที่นั่น แล้วมีมูลนิธิ 2 มูลนิธิ ที่เอาของข้าวสารอาหารแห้ง เสื้อผ้า สมุดดินสอ ไปแจกกับเด็กที่ด้อยโอกาสแถวตะเข็บชายแดน อำเภออรัญประเทศเนี่ยติดกับกัมพูชา พวกผมก็ไปยืนรับจากมูลนิธิร่วมกตัญญู มูลนิธิปอเต๊กตึ๊งที่เอาของไปแจก เราเป็นผู้รับตั้งแต่เด็กๆ รู้สึกว่าโอ้โห..มันเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นอะไรที่ดีใจมาก ที่ได้รับของจากคนที่เขาอยู่ในกรุงเทพเอาของไปแจก มันเริ่มมีความรู้สึกดีๆ ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ที่เป็นผู้รับมา แล้วก็มาคิดว่าถ้าเรามีโอกาสได้เข้ามาในกรุงเทพ มีโอกาสได้ทำงาน มีเงินมีทอง ที่ตัวเองไม่เดือดร้อนเนี่ยอยากจะเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิเนี่ยที่เอาของมาแจก จริงๆ แล้วจิตใจพื้นฐานเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพราะว่าพ่อแม่เนี่ยเขาเป็นตัวอย่างเป็นไอดอลสำหรับเรา ที่นี่มาอยู่ในกรุงเทพเนี่ย ตอนนั้นมีเหตุการณ์นึงเกิดในโรงหนังเอเธนส์ ตึกถล่มลงมา แล้วช่องออกข่าวว่าต้องการความช่วยเหลือเพราะมีคนติดอยู่ในซากตึก ทีนี้พี่บิณฑ์เขาก็ไปที่โรงหนังเอเธนส์เลย ตอนนั้นยังไม่เป็นอาสาไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น แต่เป็นดาราแล้ว เป็นบิณฑ์ บันลือฤทธิ์แล้ว แล้วเข้าไปช่วย ทางปอเต๊กตึ๊งเห็นเขาก็ อ้าว พี่บิณฑ์ เขาก็เหมือนจะให้เข้าไปช่วย พี่บิณฑ์เขาก็จะเข้าไปช่วยปอเต๊กตึ๊งอยู่แล้ว ทีนี่ปอเต๊กตึ๊งเนี่ยเขามีวัสดุอุปกรณ์ในการช่วยเหลือทันสมัย แต่หันไปอีกที่นึงห่างกันสัก30 เมตร จะเห็นร่วมกตัญญูเขาใช้ค้อนทุบ ไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือเลย พี่บิณฑ์เนี่ยเขาเหมือนกับว่า เขามาเนี่ยเขาอยากใช้พลังร่างกาย เขาเลยบอกว่า “ไม่เป็นไรเดี๋ยวขอไปช่วยทางนู้นดีกว่า” เพราะทางนี้คนก็เยอะแล้ว อุปกรณ์ก็เยอะแล้ว ไปช่วยร่วมกตัญญูดีกว่า เขาก็เดินไปช่วย ไปหยิบค้อนมาช่วยกันทุบช่วยกันตี ช่วยกันจนกระทั่งเอาผู้เสียชีวิตที่ติดอยู่ซากตึกออกมาได้ แล้วเขาก็แบกขึ้นบ่าเดินออกมา แล้วทีนี้นักข่าวเขาก็เห็นก็ถ่ายไว้ หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับในวันนั้น ทางร่วมกตัญญูเขาก็ไม่ได้ชวนนะ บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ เดินเข้าไปขอเป็นอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูตั้งแต่วันนั้นมา และก็มาชวน(เอกพันธ์) ไปด้วย คนก็เลยเข้าไป ตอนนี้ก็ประมาณ 35 ปีแล้ว
ภาพจากอีจัน
อาสาสมัครเนี่ย เขามีเงินตอบแทนให้ไหม? ไทด์ : คำว่าอาสาสมัครเนี่ย เป็นการทำงานด้วยอาสามา ด้วยอาสาที่อยากจะทำให้สังคม มูลนิธิจะไม่มีเงิน ไม่มีอะไรสนับสนุนเด็ดขาด เขาจะไม่มีเงินให้ กินเอง เติมน้ำมันเองอะไรทุกอย่าง ถ้าเกิดเป็นรถอาสาสมัครเขาก็ทำโดยของเขาเอง มูลนิธิไม่ได้สนับสนุนอะไรให้ แต่ถ้าเป็นรถของ น.เขต น.พยาบาล ซึ่งเป็นพนักงานของมูลนิธิที่เขาเก็บศพเก็บอะไรเนี่ย อันนั้นก็คือเขาจะมีเงินเดือนให้แต่น้อยมาก เงินเดือนน้อยมาก เพราะว่ามูลนิธิทุกมูลนิธิในประเทศไทยอย่าลืมนะว่าเป็นของเอกชน รัฐบาลไม่ได้มาซัพพอร์ตอะไรทั้งสิ้น ต้องอยู่ด้วยตัวเอง อยู่ด้วยเงินบริจาคของประชาชนเท่านั้น ถ้าไม่มีเงินบริจาคของประชาชนก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ คนต้องมีใจจริงๆ คือเราต้องไปทำงานอาชีพของเราก่อน เพื่อเอาเงินมาให้ครอบครัว เอาเงินให้กับลูก เอาเงินเก็บไว้สำหรับเราเจ็บไข้ได้ป่วยนั่นคืออาชีพ แต่ตรงนี้เราทำให้กับสังคม แต่ถ้ามันมีอะไรที่เป็นเหตุการณ์ร้าย หรือเหตุการณ์ที่ใหญ่หรือกว้างมาก ที่ต้องการความช่วยเหลือ บางครั้งก็ต้องของานอาชีพของเรากับวงการบันเทิง ขอเขาสัก 2-3 วันเพื่อจะมาดูแล ขอคิวมา เพราะว่าผมเป็นหัวหน้าอาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญูดูแลอาสาทั้งหมดประมาณเจ็ดพันกว่าคนทั่วประเทศ ล่าสุดที่น้ำท่วมที่จังหวัดอุบลราชธานีผมก็ไปอยู่นั่นเป็นเดือน แจกของช่วยเหลือชาวบ้าน ก็จะไล่มาทั้งหมด 7 จังหวัด
ภาพจากอีจัน
มันจะมีคนที่ขยันแทบตายแต่มันไม่หลุดกับคนที่แบบ มันไม่ทำมาหากินอะ นั่งรอให้คนมาให้ไปเรื่อยๆ พี่มีมุมมองตรงนี้ยังไง? หลายคนเจอแบบนี้แล้วรู้สึกไม่อยากให้ ไทด์ : มีเยอะ บางครั้งเราก็รู้สึกท้อใจเหมือนกัน ทำไมเขาคิดไม่ได้ สมมติมีห้องห้องนึงมันว่างอยู่ ห้องนี้ก็ว่าง ห้องนี้ก็ว่าง แต่เจ้าของบ้านไปเอาใครที่ไหนไม่รู้มานั่งว่าเป็นเจ้าของห้อง เพราะว่าห้องนึงอย่างน้อยคือได้ 500 เปิดห้องให้เขามานั่งเพื่อจะได้รับเงินจากพวกเรา คือเราเนี่ยไม่ได้เรื่องเยอะมากมาย แต่เราก็ถามเป็นเจ้าของห้องไหม? เป็นเจ้าของห้องครับ ขอดูห้องหน่อย เขาก็อึกอัก ผมอยู่ห้องนี้แหละครับ ห้องผมรกมากครับ คือนอนอยู่ที่นี่หรือเปล่า นอนครับ ขอเปิดดูหน่อย เปิดไป ห้องโล่งมีแต่ฝุ่น ไม่มีอะไรสักนิดนึง สามสี่ห้องเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด เราก็ถามว่า ถามดีๆ ตอบตรงๆ ถ้าตอบตรงๆ ผมให้ทุกคน พูดๆ มาโอ้โห เจ้าของบ้าน แล้วเขาจะได้เท่าไหร่ ได้200 เอง คืออย่างนี้มันมีเยอะมาก เหมือนครอบครัวนึง ชาวบ้านบอกอยู่เนี่ยไม่เกิน 2 คนแต่วันที่เราไปเกณฑ์กันมา 14-15 คนมาจากไหนไม่รู้ อย่างน้อย 14-15 คนคุณได้ไปแล้วประมาณ 3,000-3,500 แล้วไม่ใช่ได้เงินอย่างเดียว มูลนิธิร่วมกตัญญูมอบข้าวสารอาหารแห้งให้ 5 ชุด เราไม่ได้เสียดายของนะ แต่ขออย่ามาหลอกกัน ในภาวะแบบนี้แล้วคนอื่นที่เขาเดือดร้อนเขารออยู่เยอะแยะมากมาย อย่างทุกๆ วิกฤตใดที่เกิดขึ้นทั้งคู่ก็ช่วยเต็มที่อย่างสุดพลังจริงๆ ปรบมือดังๆ ให้ทั้งคู่เลยจ้า
ภาพจากอีจัน